เรื่องสั้น : The Englischer Garten (จบ)

ผมถ่ายรูปเบียร์สองขวดที่ซื้อได้ทันก่อนขึ้นรถไฟ ส่งไปให้รุ่นพี่ดู เป็นการสังสรรค์ทางไกล ให้มีช่วงพักผ่อนคลายบ้าง แต่เขาพิมพ์กลับมาว่านั่นมันเบียร์อเมริกัน แค่เปลี่ยนฉลาก จะมากินที่ยุโรปทำไม

ก็ถือว่าการสังสรรค์นี้จบไป และเบียร์ก็ไม่ได้รู้สึกอร่อยเหมือนตอนแรก ได้อีเมลคอนเฟิร์มตั๋วรถไฟในช่วงดึกของวันเดียวกันนั้น ผมกำลังมุ่งหน้าลงไปทางตอนใต้ของประเทศ หน้าต่างรถไฟสะท้อนรอยชํ้าที่ใบหน้าซ้อนกับทิวทัศน์มืดๆ ด้านนอก ผมเคยถูกต่อยมาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ไม่รู้ว่าโดนเพราะอะไร และจะนำไปสู่ความคลี่คลายอย่างไร

ตลอดการเสวนา ผมส่งอีเมลไปอัพเดตอยู่เรื่อยๆ ใครพูดอะไร ประเด็นที่น่าสนใจ เล่าให้ฟังถึงบรรยากาศที่ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ จนถึงความรุนแรงที่ปะทุขึ้นตอนท้าย

และอีเมลที่ส่งกลับมาก็เป็นคำสั่งให้ออกจากเมืองนั้นให้เร็วที่สุดตามคาด

แต่ไม่ใช่มุ่งหน้ากลับบ้าน…

“ถ้าได้รูปด้วยก็จะดีมาก” คือข้อความส่งท้าย “โชคดี แล้วเจอกัน”

รถไฟพุ่งเร็วต่อเนื่องในความมืด ไม่เคยคิดกลัวว่าจะมีอะไรมาขวางอยู่ตรงหน้าเข้าสักวัน ผมคิดถึงความหมายของงานที่ทำมาหลายปี นึกถึงรูปบนหน้าหนึ่งที่อาจจะเป็นหมาตัวใหญ่ยืนเด่นอยู่กลางสวนสาธารณะ พาดหัวดึงดูดให้เข้าไปอ่านเรื่องที่เรียบเรียงอย่างพิถีพิถัน บริบทของเรื่องถูกโอบรับไว้ด้วยประวัติศาสตร์ที่ลงลึกอีกที คำพูดจากปากตัวละครสำคัญถูกจับวางผสานเข้ากับเรื่องอย่างถูกที่ถูกทาง

แต่หากเรื่องนี้ลงวันจันทร์ ความหมายของมันคืออะไรเมื่อถึงวันอังคาร ยังไม่ต้องคิดถึงวันพุธ พฤหัสบดี หรือสัปดาห์และเดือนถัดไป ตัวอักษรเหล่านั้นสร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ หรือแค่สร้างเสียงฮือฮาที่ไม่นานก็ดับลง

ผมมีเพียงชื่อถนนกับบ้านเลขที่ และเพิ่งมาสงสัยตอนอยู่บนรถไฟแล้วว่าสวนสาธารณะเขามีเลขที่กันด้วยหรือ เกือบครึ่งชั่วโมงผ่านไป แต่แท็กซี่ทุกคันเหมือนกัน เป็นรถเบนซ์ใหม่เอี่ยม และที่สำคัญ กระจกใสแจ๋วเหมือนกันหมด

ผมซื้อหมวกราคาแพงลิบ กับแว่นดำที่เข้มที่สุดที่ร้านในสถานีรถไฟมี และหยิบมือถือขึ้นลองถ่ายเซลฟี่ดู

คนขับแท็กซี่พาไปสู่ที่หมายคล่องแคล่ว มันห่างจากสถานีรถไฟไม่ถึง 15 นาที แต่กลายเป็นว่าเขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้และเราคุยกันไม่รู้เรื่อง

และกลายเป็นว่ามันไม่ใช่สวนสาธารณะ แต่เป็นคฤหาสน์หลังใหญ่มหึมา

และกลายเป็นว่าเขาไม่ได้จอดรถไว้ฝั่งตรงข้ามอย่างที่ตกลงกันไว้ แต่พุ่งเข้าไปจ่อที่เวิ้งหน้าประตู ราวกับนี่คือการขับรถไปรับเพื่อนสนิทที่บ้านมันในเช้าวันหยุดสบายๆ

ผมหยุดหายใจ และมั่นใจว่านี่เป็นครั้งแรกๆ ที่การพูดแบบนั้นไม่ใช่กล่าวเกินจริง ใจไม่ได้ตกไปที่ตาตุ่ม แต่ก็บอกตำแหน่งของมันไม่ได้ ผมปลดล็อกมือถือด้วยความสั่นรัว และเริ่มละเลงถ่ายรูปไปทั่ว ถ่ายประตูบ้านตรงหน้า ถ่ายถนนด้านข้าง พุ่มไม้ กำแพง พยายามถ่ายมุมสูงเลยขอบกำแพงเข้าไปให้เห็นยอดหลังคา

มีเพียงช่องแคบๆ ระหว่างประตูกับเสาที่เผยให้เห็นข้างใน เป็นสวนสาธารณะที่มีไว้ให้เจ้าของบ้านใช้แต่เพียงผู้เดียว

หากกลุ่มชายหัวเกรียนในฝันคืนก่อนจะปรากฏตัวอีกครั้ง ก็คงต้องเป็นตอนนี้ แต่ผมกลับเห็นเพียงหญิงแก่ร่างบางคนหนึ่งที่ค่อยๆ ทรุดตัวลงคุกเข่ากลางสนามหญ้า เธอเริ่มร้องไห้ ร้องเหมือนไม่เคยร้องมาก่อนในชีวิต พนมมือร้องขอ

แต่ช่องแคบๆ นั้นไม่อนุญาตให้เรารู้ได้ว่าเธอกำลังเงยหน้าขึ้นหาใคร

“ปล่อยลูกฉัน! ปล่อยลูกฉัน!” ที่ยืนอยู่บนรอยเท้าที่เครื่องตรวจคนเข้าเมืองอัตโนมัติไม่ใช่ผม แต่เป็นชายรุ่นราวคราวเดียวกันคนนั้นที่ติดอยู่ในห้องนํ้า มีเพียงประตูขั้นสุดท้ายที่ขวางกั้นเขาจากแม่ที่คุกเข่ารออยู่ตรงหน้า เธอกรีดร้องลั่นดังก้องไปทั่วสนามบิน

“ลูกฉันทำผิดอะไร! บอกมาสิว่าลูกฉันทำอะไร! คนบนเครื่องเขาก็กินเบียร์กินเหล้าเมาเหมือนกันทุกคน”

สิ่งสุดท้ายที่เห็นก่อนบอกให้คนขับถอยรถและออกไปจากที่นั่นคือกล้องวงจรปิดใหม่เอี่ยมบนยอดเสา ผมนึกถึงภาพเซลฟี่ที่ถ่ายก่อนหน้านี้

นึกถึงทรงกลมเป็นเงาสะท้อนของกล้องวงจรปิดที่ไม่เคยบอกใคร ว่ามันกำลังมองไปทางไหน และกำลังเห็นอะไร

นํ้าในหม้อใบใหญ่เริ่มเดือดปุดๆ เนื้อน่องลายหั่นบางจำนวนมหาศาลพุ่งตัวลงไป พวกมันจะต้องอยู่ในนี้กันไปอีกนาน ในจังหวะนั้นเอง เครื่องบินผมแตะพื้นลงจอดเรียบร้อย นึกถึงหม้อนี้ตั้งแต่อยู่ริมลำธารหลายวันก่อน ความไกลบ้านทำให้คนเราคิดขึ้นมาจริงๆ ว่าจะไม่ได้กลับไปอีก โดยมีเหตุผลและไม่มีเหตุผล ความห่างไกลทำให้ชอบหม้อในครัวธรรมดาๆ

ปล่อยให้เดือดแป๊บหนึ่งแล้วปรับเป็นไฟอ่อน ทีนี้ก็ความเงียบ ควันเบาๆ และนํ้าที่ค่อยๆ เหือดลงช้าๆ

ปลายนิ้วชี้บนเครื่องสแกน เงยหน้ามองกล้องไม่ถึงสองวินาที ประตูก็เปิดออก ง่ายๆ แค่นั้นเอง การเคว้งอยู่กลางอากาศทำให้เราเป็นอย่างที่เขาว่ากัน สับสน กลัว ตั้งคำถามกับชีวิต หรือในกรณีของผม จินตนาการอะไรไปเป็นเรื่องเป็นราว

อาจเป็นเพราะอยู่บนพื้นดินที่ทำให้รอยยิ้มไร้เดียงสาและเปี่ยมความหวังนั้นค่อยๆ เลือนรางหายไปจากความทรงจำ ผมเงี่ยหูฟังแต่ไม่ได้ยินเสียงกรีดร้อง กระเป๋าเดินทางผมไม่ได้หมุนไปบนสายพานรอบแล้วรอบเล่า แต่ออกมาเป็นใบแรกๆ ด้วยซํ้า

ผมแมสเสจบอกพี่ชายว่าไม่ต้องขึ้นมา ให้รอที่ร้านเบียร์ข้างล่าง เดี๋ยวเดินลงไปเจอ

แล้วผมก็ลงไปเจอ และเราก็เริ่มกินเบียร์กัน

เครื่องแกงเขียวหวานสดๆ จากตลาดแถวบ้านพานํ้าเดือดเขียวเข้มข้น เรายังนั่งกินเบียร์กันไปอีกนาน แม้ว่าสถานีรถไฟจะอยู่ข้างๆ และแม้ว่าแม่จะโทร.มาถามเป็นรอบที่สองว่าถึงไหนแล้ว พี่บอกกับคนขายว่า “น้องไปเมืองนอกมานานครับ” พี่อีกคนขอถั่วเพิ่ม แล้วสั่งเบียร์แก้วใหญ่ให้อีกคนละแก้ว

ก่อนขึ้นรถไฟกลับบ้าน เราซื้อติดมือกันไปอีกคนละกระป๋อง ตอนนี้เห็ดและใบโหระพาค่อยๆ อ่อนตัวและกระจายไปทั่วหม้อแล้ว เราชนเบียร์กันยกขึ้นดื่มไปตลอดทาง ลาดกระบัง บ้านทับช้าง หัวหมาก แล้วก็รามคำแหง

ป่านนี้เขียวหวานคงเสร็จแล้วก็จริง แต่เขียวหวานที่เพิ่งเสร็จใหม่ๆ ต่างกับเขียวหวานที่รอให้เข้าเนื้ออีกชั่วโมงสองชั่วโมงโดยสิ้นเชิง

ผมกอดแม่ และชั่วขณะนั้นก็จบ เหมือนไม่ได้หายไปไหนมา กอดพ่อแบบครึ่งๆ กลางๆ ตบๆ บ่า มีของฝากให้กับทุกคน เสื้อหนาวและผ้าพันคอให้แม่ พ่อได้เสื้อกันฝนตอนขี่จักรยานโดยเฉพาะ พี่คนโตได้รองเท้าที่พี่อีกคนอยากได้ พี่อีกสองคนได้สายสะพายกีตาร์เหมือนกัน เราเปิดเบียร์กินกันต่อ แม่เริ่มล้างจานตั้งแต่ยังไม่มีจานให้ล้าง

ผมตักข้าวที่หุงแห้งเต็มเม็ดแบบที่แม่ชอบ และค่อยๆ ตักเขียวหวานราด

คำแรกเข้าปาก เนื้อเปื่อยยุ่ยที่เผ็ดมาก่อน ตามมาติดๆ ด้วยเค็มและหวาน เห็ด ใบโหระพาและไข่ดาวกรอบ และนึกขึ้นในตอนนั้นว่านี่น่าจะเข้ากับไวน์มากกว่า

และพ่อก็เตรียมไวน์ไว้เช่นกัน