เรื่องสั้น : ความตาย-ความรัก-ความทรงจำ

ความตาย

ข่าวการตายของนางคำมะนีดังไปทั่วสี่พันดอน คนจำนวนไม่น้อยรู้ข่าวนี้ จะไม่ให้เป็นข่าวดังได้อย่างไร ในเมื่อการตายสุดแสนจะพิสดารอย่างนั้น นางคำมะนีตายตอนไหนไม่มีใครรู้ ที่รู้ว่าตายเพราะมีคนหาปลาพบศพนางติดค้างอยู่บนแก่งกินแถวดอนสะโฮง

ก่อนตายเพื่อนหลายคนเห็นนางไปคอนพะเพ็งแทบทุกวัน บางคนออกความเห็นว่านางไม่น่าฆ่าตัวตาย แต่ก็นั่นแหละ คำมะนีเด็กสาววัยสิบแปดย่างสิบเก้า ทำไมจึงตัดสินใจเลือกหนทางแห่งความตายแบบนี้ เพื่อนของนางหรือแม้แต่คนในครอบครัวไม่มีใครตอบได้

ทุกคนทำได้เพียงยอมรับความจริงว่าคำมะนีเด็กสาวผู้ร่าเริงเป็นมิตรกับทุกคนจากไปแล้วจริงๆ

วันที่นำศพนางขึ้นมาจากแก่ง หลายคนตะลึงงัน เพราะท่อนร่างของนางเต็มไปด้วยขนสีขาว มองมุมไหนก็รู้ว่านั่นคือส่วนหางของนก ขนสีขาวราวกับขนนกสีดา ขาทั้งสองข้างกลายเป็นขานก แขนสองข้างมีปีกงอกยาวออกมา “นางคงพยายามบินขึ้นจากน้ำหลังจากการกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย” คนหาปลาที่ดอนสะโฮงบางคนว่าอย่างนั้น

แต่นั่นแหละไม่มีใครรู้ว่าทำไมนางจึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย แล้วทำไมหลังการตาย ร่างของนางจึงกลายเป็นกึ่งคนกึ่งนก

“มันเป็นร่างคนตายที่ประหลาดที่สุด” คนสี่พันดอนว่าอย่างนั้น

ร่างไร้วิญญาณที่นอนนิ่งในโลง ราวกับว่ายังมีชีวิต เพ่งพิศใบหน้านั้นเหมือนกำลังยิ้มให้กับใครสักคนหรือกำลังมีความสุข ในวันปลงศพของคำมะนี ขณะเปลวไฟกำลังลามไหม้ท่อนฟืนและค่อยๆ เผาร่าง ทุกคนที่ไปร่วมส่งศพถึงกับตะลึงงันเมื่อพบว่าเหนือเปลวไฟที่กำลังลุกโชนนั้นมีนกสีดาตัวหนึ่งโผบินขึ้นไปจากกองไฟ

นกสีดาตัวนั้นบินสูงขึ้นไปมากเท่าใด ร่างของมันก็ขยายใหญ่ขึ้นมากเท่านั้น ทุกครั้งที่นกสีดาขยับปีก ใบไม้แห้งที่ลานปลงศพปลิวว่อนราวกับมีลมพายุพัด นกสีดาตัวนั้นโผบินไปทางหลี่ผี คนหาปลาหลายคนที่หาปลาอยู่ตรงหลี่ผีและคอนเกือกม้าต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน พวกเขาไม่เคยเห็นนกสีดาตัวใหญ่ขนาดนี้มาก่อน มันเป็นนกสีดาที่ขนขาวสวยงามและมีท่วงท่าของการบิดที่งดงาม

นกสีดาตัวนั้นโผบินวนเวียนอยู่เหนือแม่น้ำโขงที่สี่พันดอนได้ห้าวัน ลมหนาวแรกของปีก็มาเยือน พลันที่ลมหนาวหวนมานกสีดาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เช่นเดียวกันกับข่าวการตายของคำมะนี

หลังเก็บเถ้ากระดูก ความทรงจำเกี่ยวกับการตายของนางก็เลือนหายไปจากความทรงจำของใครหลายคน แต่ยังมีหนึ่งคนไม่เคยลืม แม้ความตายจะพรากเธอไปจากเขา ทุกวันภาพของคำมะนียังวนเวียนอยู่ในความรู้สึก บุญเฮืองคือชื่อของชายคนนั้น

ชายหนุ่มผู้เป็นที่รักยิ่งของคำมะนี ทั้งคู่ยังไม่ทันได้แต่งงานออกเรือน แต่หญิงคนรักก็มาจากไปเสียก่อน ผ่านงานศพของคำมะนีไปไม่ถึงสองอาทิตย์ บุญเฮืองก็ตัดสินจบชีวิตของตนลงเช่นเดียวกัน

คนทั่วสี่พันดอนต่างพูดถึงการตายของบุญเฮืองพอๆ กับการตายของคำมะนี ในวันที่นำศพของบุญเฮืองขึ้นมาจากคอนเกือกม้า คนหาปลาต่างพากันงุนงง เพราะท่อนร่างของบุญเฮืองไม่ต่างจากปลาข่า

ความตายของคู่รักผ่านพ้นไป ผู้คนต่างพากันเล่าขานต่างๆ นานา แน่นอนว่าหนึ่งในเรื่องเล่านั้นก็คงเป็นตำนานความรักในคราครั้งบรรสมกับของชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่ง ความรักของพวกเขาจบลงที่ความตาย

และกลายเป็นตำนานคู่กับสี่พันดอนให้คนจากรุ่นสู่รุ่นได้เล่าสืบกันมา

ความรัก

นานมาแล้ว คราครั้งโน้นมีสามี-ภรรยาคู่หนึ่งอาศัยอยู่บนดอนเล็กๆ แห่งหนึ่งกลางแม่น้ำโขง สองสามี-ภรรยาไม่ได้ทำอาชีพอื่นนอกจากจับปลาไปแลกกับข้าว ทั้งคู่มีนาเป็นผืนน้ำ หากจะกล่าวเล่าถึงคนทั้งสอง รวมทั้งเรื่องราวความรักอันเป็นตำนานแห่งสี่พันดอนคงต้องย้อนกลับไปหลายฤดูฝน

“ท้าวข่า” คือชื่อของชายหนุ่มคนนั้น ข่าเกิดในครอบครัวชาวน้ำ เรียนรู้แม่น้ำรวมทั้งเรียนรู้ชีวิตจากสายน้ำ ทั้งสี่พันดอนนั้นข่าไปมาเกือบทุกที่

ข่าในวัยเด็กติดตามพ่อออกหาปลาทุกวันจึงจดจำได้หมดว่าเวินตรงไหน คอนตรงไหนมีปลาชุกชุม หลี่ต้องใส่ตรงไหนปลาถึงจะเข้าเยอะ เมื่อออกเรือหาปลาในสายน้ำที่เชี่ยวกรากของฤดูฝน ตรงไหนสามารถพายเรือไปได้ ตรงไหนไปไม่ได้ เพราะหากพลาดพลั้งมา ทั้งเรือและคนอาจกลายเป็นศพตรงน้ำตกคอนพะเพ็ง

หน้าแล้งปีนั้นข่านำปลาร้าที่หมักไว้ใส่เรือไปตามดอนต่างๆ เพื่อแลกข้าว เมื่อไปถึงดอนพร้าว กามเทพก็ได้แผลงศรรักกับข่า “หญิงสาวคนนั้นงดงามกว่าสาวไหนๆ” ชื่อของเธอคือสีดา เธอเป็นลูกสาวของพ่อเฒ่าสมวัน ข่ารู้จักกับสีดาจากการแนะนำของเสี่ยวฮักบ้านดอนพร้าว เมื่อได้พูดคุยกับสีดา ข่ายิ่งพบว่าตัวเองหลงรักสีดามากขึ้น

แต่ฝ่ายสีดาเล่า ข่าไม่รู้เลยว่านางจะมีใจให้หรือไม่ เพราะคนหนุ่มผู้ไม่มีนา ชีวิตฝากไว้กับการหาปลา จะไปสู้หนุ่มที่มีนานับสิบนับร้อยไร่ได้ไหม อีกทั้งกว่าจะได้เจอสีดาก็หมดสิ้นหน้าทำหลี่โน่นแหละ

ข่าเพียรฝากปลาตัวใหญ่ไปกับเสี่ยวเพื่อให้ถึงมือสาวคนรัก หมดปลาไปหลายตัว ความรักจึงเริ่มถักถอสายใยขึ้น หลังเสร็จหน้าหลี่ในปีถัดมา ข่าไปดอนพร้าวอีกครั้งพร้อมกับปลาร้าหลายไหและปลาสดอีกหลายตัว ครั้งนี้ข่าบุกไปถึงบ้านสีดา การพูดคุยถึงการใช้ชีวิตร่วมกันของชายหนุ่มและหญิงสาวจึงเริ่มขึ้น งานผูกข้อมือจึงเริ่มขึ้นหลังจากนั้นสองเดือน หลังการผูกข้อมือ ข่าพาสีดาเมียรักกลับบ้านไปอยู่ที่เวินคาม

ฤดูฝนมาเยือน ฝนตกทุกวัน น้ำโขงไหลบ่าเอ่อนองท่วมท้น ต้นไคร้ ต้นหนามจมมิด ดอนบางแห่งที่คนหาปลาเคยพักพาอาศัยก็เอาเรือเข้าเทียบไม่ได้ น้ำหลากเช่นนี้ออกเรือหาปลาแต่ละครั้งต้องระวังอย่างมาก เพราะทางน้ำเปลี่ยน เกาะแก่งที่โผล่พ้นน้ำอันเป็นหมุดหมายถึงพื้นที่อันตรายก็จมหายไปกับสายน้ำ

ยามเช้าฟ้าใสราวกับว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาฝนไม่ได้ตกหนัก ข่าชวนสีดาออกหาปลาเหมือนเช่นทุกวัน ขณะใกล้ถึงคอนเกือกม้า ฟ้าที่เคยใสกลับมืดลงเป็นลำดับ ฝนตั้งเค้ามาและเริ่มใกล้เข้ามา ในที่สุดฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก สองผัวเมียออกแรงพายเรือหวังหลบฝนที่ดอนไข่ จากระยะสายตาดอนไข่อยู่ไม่ไกล ข่าออกแรงพายเรือให้เร็วขึ้น แต่ความเร็วหาได้เป็นอย่างใจหมาย ในสายฝนข่าเห็นความหวาดกลัวบนใบหน้าของสีดาเมียรัก

ฝนยังตกลงมาอย่างหนัก

ข่าเร่งออกแรงพายเรือเพิ่มขึ้น เพราะตอนนี้ต้นไม้ริมดอนที่พอจะให้สีดาเมียรักโน้มมันเข้ามาหาเพื่อช่วยดึงเรือเข้าฝั่งอยู่ไม่ไกลแล้ว แต่อนิจจา ข่าพาสีดาเมียรักหลงทางเสียแล้ว เสียงสายฝนมิอาจเทียบเท่าเสียงของสายน้ำทั้งสายที่โถมจากแก่งลงสู่เบื้องล่าง ข่ารู้ว่าตัวเองพาเมียรักมาผิดทางเสียแล้ว ข่าพยายามขัดท้ายเรือ เพื่อพายเรือทวนน้ำไปจากจุดนั้นให้เร็วที่สุด แต่แรงคนมิอาจต้านทานแรงมหึมาของสายน้ำ เรือค่อยๆไหลไปตามกระแสน้ำ ก่อนละลิ่วลงสู่คอนพะเพ็ง

ทั้งข่าและสีดาจมหายไปพร้อมกับเรือ ในห้วงสุดท้ายของชีวิต ข่าวางไม้พายรีบตะกายไปหาเมียรักที่หัวเรือ ทั้งสองกอดกันแน่น สีดาร้องให้ ข่าได้แต่ปลอบใจไม่ให้เมียรักร้องไห้มากกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งข่าและสีดาต่างพร่ำบอกกันและกันว่า

“ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร พี่จะดูแลสีดาให้ดีที่สุด จะไม่ทิ้งสีดาไปไหน หากต้องตายก็ขอให้เราตายไปด้วยกัน”

“สีดาก็เช่นกัน หากต้องตายก็ขอตายไปพร้อมกับพี่”

แล้วทั้งสองก็จมหายไปกับสายน้ำ

ฝนลาฟ้าในตอนบ่าย ฟ้าสดใสอีกครั้ง คนหาปลาหลายคนที่หลบฝนตามดอนเริ่มพากันพายเรือกลับบ้าน แม่น้ำโขงสงบเงียบเหมือนว่าไม่เคยเชี่ยวกรากมาก่อน ก่อนแสงสุดท้ายจะเลือนหาย คนหาปลาแถบเวินคามก็เห็นนกสีดาขนาดใหญ่ตัวหนึ่งบินโฉบเฉี่ยวอยู่เหนือผิวน้ำ เบื้องล่างบนผิวน้ำปรากฏปลาข่าดำผุดดำว่ายไล่ต้อนฝูงปลาเล็กปลาน้อย เมื่อปลาเล็กปลาน้อยกระโดดขึ้นมาเหนือผิวน้ำ นกสีดาก็โฉบลงมาคาบเอาปลาแล้วบินหายไปกับแสงสุดท้ายของวัน

คนเฒ่าคนแก่ทั่วทั้งสี่พันดอนเล่ากันสืบมาว่า หลังจากหมดลมหายใจ ข่าได้ไปเกิดเป็นปลาข่า ส่วนสีดาได้ไปเกิดเป็นนกสีดา ด้วยความรักและคำมั่นสัญญา ข่ากับสีดาจึงได้มาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง เมื่อเห็นนกสีดาก็จะเห็นปลาข่า ทุกครั้งที่ปลาข่าปรากฏตัว นกสีดาจะโฉบเฉี่ยวอยู่เหนือผิวน้ำ เพื่อรอกินปลาที่ปลาข่าไล่ต้อนมาให้

สายน้ำยังคงสงบเงียบอย่างที่เคยเป็นมา

ความทรงจำ

ดอนสะโฮงวันนี้เงียบเหงากว่าหลายวันก่อน คงเพราะคนหาปลาครอบครัวสุดท้ายกำลังจะเดินทางจากไป หลังรื้อบ้านและเก็บเครื่องมือหาปลาลงเรือไปไว้บ้านหลังใหม่เสร็จเรียบร้อย วันนี้บุญเฮืองกลับมาดอนสะโฮงพร้อมลูกเมียอีกครั้ง เขาอยากมาเห็นบ้านที่เคยอยู่มาตั้งแต่ลืมตาดูโลกจนเติบใหญ่มีครอบครัว เพราะความรักในบ้านหลังนี้บุญเฮืองดื้อดึงกับเจ้าหน้าที่รัฐหลายรอบ ในตอนที่เจ้าหน้าที่มาบอกให้ย้ายออกไปอยู่ที่จัดสรร แม้บุญเฮียงไม่อยากย้ายออกจากผืนดินฝังสายรก แต่ในฐานะพลเมืองเขาไม่มีสิทธิโต้แย้งใดต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่มีแม้กระทั่งสิทธิที่จะเลือกแผ่นดินใหม่

ตั้งแต่เด็กจนโต บุญเฮืองจดจำเรื่องราวต่างๆ บนดอนสะโฮงได้ดี ไม่ว่าจะเป็นหลี่หาปลา หรือกระทั่งเกาะแก่งที่น้ำเชี่ยว หรือแม้แต่ฝูงปลาข่าและนกสีดาที่เขาเห็นมันทุกฤดูหนาว ตอนเป็นเด็ก ปลาข่ามีหลายร้อยตัว แต่เมื่อเติบโตเป็นหนุ่ม บุญเฮืองพบว่ามันลดจำนวนลงไปมากทั้งที่คนหาปลาก็ไม่ได้จับมากิน วันที่จะย้ายออกจากดอนสะโฮงนั้น ปลาข่าเหลือเพียงตัวเดียว ไม่นานหลังจากนี้คงไม่มีปลาข่า

พูดถึงเรื่องปลาข่าแล้ว บุญเฮืองจำเรื่องราวในวันนั้นได้ดี วันที่ฝรั่งและเจ้านายจากเมืองนั่งเรือมาถึงดอนสะโฮง พวกเขามาดูปลาข่า เขาติดต่อคนหาปลาหลายคนเพื่อพาไปจุดที่เคยเจอปลาข่า แต่ไม่มีคนหาปลาคนไหนพาไป เพราะเรือลำเล็กของพวกเขานอกจากจะใช้หาปลาแล้ว มันไม่เหมาะที่จะเอาไปทำอย่างอื่นไม่ คนหาปลาหลายคนบอกว่า ถ้าอยากจะออกไปดูปลาข่า ต้องไปกับบุญเฮียงเท่านั้น เพราะบุญเฮืองรู้ว่าปลาข่าจะอยู่บริเวณไหน ที่สำคัญบุญเฮืองมีเรือลำใหญ่ บุญเฮียงรับอาสาในเรื่องนี้ ในวันที่ออกเรือไปดูปลาข่า ฝนตกทั้งวัน จากเช้าจนเที่ยงบุญเฮืองขับเรือวนไปวนมาหลายรอบก็ไม่เจอปลาข่า บุญเฮืองได้แต่คิดในใจว่า เจ้านายกับพวกฝรั่งนี่คงมาผิดเวลา ถ้าจะดูปลาข่าต้องมาช่วงหน้าหนาว

ในวันที่บุญเฮืองเบนหัวเรืออกจากท่าเรือริมฝั่งดอนสะโฮง ข่าวการตายของปลาข่าตัวสุดท้ายก็มาถึงดอนสะโฮง คนหาปลารู้ดีว่าปลาข่าไม่มีทางติดมอง เพราะคนหาปลาจะไม่วางมองแถวนั้น แต่ก็นั่นแหละ ไม่มีใครรู้อย่างแท้จริงว่าปลาข่าตัวสุดท้ายตายเพราะอะไร แต่ก่อนข่าวการตายของปลาข่าตัวสุดท้ายจะมาถึง คนหาปลาแถวเวินคามบอกว่าเห็นนกสีดาที่บินอยู่เหนือน้ำได้ไม่นานก่อนจะตกลงในน้ำ นกสีดาตัวนั้นเหมือนนกปีกหักไม่สามารถพยุงตัวขึ้นบินได้ เมื่อนกสีดาตกลงไปในน้ำ มันก็ไม่โผล่ขึ้นมาอีกเลย

มีเพียงปลาตัวสุดท้ายแห่งสายน้ำโขงที่โผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ปลาข่าตัวนั้นเป็นปลาข่าตัวสุดท้ายที่คนหาปลาบอกว่าตัวใหญ่ที่สุด

เมื่อครอบครัวคนหาปลาโยกย้ายออกจากดอนสะโฮงจนหมด ขบวนเครื่องจักรทั้งรถขุดดิน รถตักดินก็เดินทางสู่ดอนสะโฮง ดินกองแรกถูกถมทับลงไปบนแม่น้ำโขง และกองต่อมาก็เรียงยาวต่อกันจนเชื่อมกับแผ่นดินใหญ่

ในวันที่ถนนไปสู่ดอนสะโฮงสิ้นสุดลง ข่าวการหายไปของบุญเฮืองก็แพร่สะพัดไปในหมู่คนหาปลา บางคนว่าบุญเฮืองออกไปหาปลาแล้วไม่กลับมาอีกเลย บางคนว่าบุญเฮืองไปดอนสะโฮงแล้วไม่กลับมา

แต่คนงานที่กำลังไถดินทำถนน พวกเขารู้เรื่องนี้ดีที่สุด เพราะในตอนสายพวกเขาเห็นผู้ชายคนหนึ่งมากับเรือ หลังจอดเรือที่ท่าเรือ เขาเดินขึ้นมาบนฝั่งแล้วมุ่งหน้าไปทางออฟฟิศด้วยความเร่งรีบ เมื่อไปใกล้ออฟฟิศก็มีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด สิ้นเสียงปืน คนงานหลายคนถูกเรียกมาเพื่อช่วยกันหามศพไปโยนลงแม่น้ำตามคำสั่งของหัวหน้าคนงาน ทันทีที่ศพของบุญเฮืองถูกโยนลงไปในแม่น้ำและค่อยๆ จมลง เฆมก้อนใหญ่ก็ลอยมาบดบังดวงอาทิตย์เอาไว้

ขณะคนงานกำลังจะเดินกลับไปทำงานต่อ พวกเขาต้องตะลึงงัน เมื่อร่างของบุญเฮืองโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมา สิ่งที่พวกเขาเห็นคือนกกับปลาผสมอยู่ในร่างเดียวกัน แขนทั้งสองข้างมีปีกงอกออกมา ส่วนท่อนร่างกลายเป็นปลาที่มีหางคล้ายหางปลาข่า ศพแปลกประหลาดของบุญเฮืองค่อยๆ ลอยออกไปเรื่อยๆ

และเมื่อเฆมก้อนนั้นลอยพ้นจากดวงอาทิตย์ แสงแดดก็ร้อนขึ้น ขณะที่คนงานยืนนิ่งอยู่นั้น สิ่งที่พวกเขาเห็นคือ นกกึ่งปลาตัวนั้นโผบินขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วบินในแนวดิ่งลงสู่แม่น้ำด้วยความเร็ว เมื่อนกกึ่งปลาตัวนั้นสัมผัสผิวน้ำและจมหายไป คนงานหายตะลึงงัน บางคนออกวิ่ง บางคนยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ คนงานกลับจนหมด

เหตุการณ์ทุกอย่างจึงสงบลงราวกับว่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน