ถึงเวลา ‘นิสสัน อัลเมรา’ ใหม่ ปรับโฉมสวยดุ-รับศึกอีโคคาร์

สันติ จิรพรพนิต

กว่า 240,000 คัน!!!

นั่นคือยอดจำหน่ายสะสมของรถยนต์ “นิสสัน อัลเมรา” เก๋งอีโคคาร์ 4 ประตู

โดยเฉพาะเจเนอเรชั่นล่าสุดที่มากับรูปโฉมโฉบเฉี่ยวและเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร เทอร์โบ ถือว่าโดนใจคนไทยไม่น้อย

กระนั้นด้วยเป็นเซ็กเมนต์ที่ต่อสู้กันดุเดือด บวกกับมีหลายค่ายลงมาเล่น

ทำให้แทบทุกค่ายต้องปรับตัวหรือส่งรุ่นใหม่ๆ ออกมากระตุ้นยอดขาย

อย่างอัลเมรา เมื่อปีที่แล้วออกรุ่นพิเศษ “สปอร์ตเทค” (SPORTECH) แบบทูโทน

มาถึงตอนนี้ได้เวลาปรับโฉมแบบไมเนอร์เชนจ์

อัลเมรา ใหม่ ที่เปลี่ยนไปเลยไม่พ้นด้านหน้าดีไซน์ใหม่ด้วยการออกแบบ Next-generation V-motion โดดเด่นสะดุดตามากขึ้น เป็นเทรนด์การออกแบบรถยนต์ในอนาคตของนิสสัน

เปลี่ยนดีไซน์ด้านหน้าทั้งหมดให้โดดเด่นขึ้น ตั้งแต่กระจังหน้า โลโก้ใหม่ กระโปรงหน้า ไปจนถึงเสา A-pillar

กระจังหน้ามีช่องดักลมขนาดใหญ่ขึ้น ใช้เส้นแนวขวางสีดำคาดด้วยโครเมียมเพิ่มความหรูหรา

ไฟหน้าแบบ LED พร้อม LED Signature Light เปิด-ปิดอัตโนมัติ และเทคโนโลยีเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ (High Beam Assist – HBA) จะปรับไฟหน้าจากไฟสูงเป็นไฟต่ำทันทีเมื่อเซ็นเซอร์ตรวจจับได้ว่ามีรถสวนมา

ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED

ไฟท้ายแบบ Signature Light พร้อมไฟเบรกแบบ LED

เพิ่มความน่าสนใจด้วยสีภายนอกใหม่ สีเทา เกรย์ สกาย เพิร์ล (Gray Sky Pearl) ที่ดูทันสมัย

เปลี่ยนเฉดไปได้มากมายขึ้นกับช่วงเวลาและมุมที่มอง จากเงาเฉดสีม่วงในขณะที่แสงน้อยไปจนโทนสีฟ้ามากขึ้นในที่ที่มีแสงแดดจัด และเมื่อมองจากระยะไกล จะเห็นเป็นสีทึบ แต่เมื่อเข้ามาใกล้จะมองเห็นเงาประกายมุกที่ซ่อนอยู่ นอกจากนี้ ในช่วงที่เฉดสีดูเข้มขึ้น

รุ่นใหม่นี้ยังมีแบบสีทูโทนหลังคาดำให้เลือกด้วย

ภายในแม้ยังคล้ายของเดิม แต่เพิ่มเติมความโฉบเฉี่ยวมากขึ้น

ตกแต่งที่แผงคอนโซลหน้ารูปปีกที่สยายออก (gliding wing) และที่แผงประตูด้วยวัสดุสีน้ำเงินเข้ม เพิ่มความเก๋ ทันสมัย เสริมอารมณ์สปอร์ตให้กับห้องโดยสาร

พวงมาลัยทรงสปอร์ตแบบท้ายตัดปรับได้ 4 ทิศทางวัสดุหุ้มหนัง พร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่นควบคุมระบบเครื่องเสียง และรับโทรศัพท์บนพวงมาลัยสวิตช์ควบคุมหน้าจอ แสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบ TFT บนพวงมาลัย

มาตรวัดแบบเรืองแสง Fine Vision Meter แบบ Digital หน้าจอสี TFT 7 นิ้วอยู่ด้านซ้าย ปรับเปลี่ยนได้หลากรูปแบบ

ทั้งเรียกดูข้อมูลต่างๆ หรือจะปรับเป็นมาตรวัดความเร็วรอบก็ได้เช่นกัน ส่วนด้านขวาเป็นมาตรความเร็วแบบอะนาล็อก

มี Nissan Connect ระบบอินโฟเทนเมนต์ล่าสุดจากนิสสัน รองรับการเชื่อมต่อผ่านสมาร์ตโฟนทั้งระบบ Android Auto และ Apple CarPlay รวมทั้งยังสามารถใช้ระบบนำทางผ่าน Google Map บนจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว

เครื่องเสียงและระบบสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะ เพิ่มความสุนทรีย์ในทุกการเดินทาง

อุปกรณ์ชาร์จแบบไร้สาย Wireless Charger

นอกจากนี้ มี “NissanConnect Services” ช่วยให้ควบคุมรถได้ด้วยระบบสั่งการระยะไกล อาทิ ระบบตรวจสอบสถานะการล็อกประตู ระบบสตาร์ตเครื่องยนต์ระยะไกล ระบบสั่งกะพริบไฟหน้า และสั่งระบบแตรระยะไกล ที่ช่วยให้ค้นหาตำแหน่งของรถได้สะดวกแม้ในลานจอดรถที่หนาแน่น

ทั้งยังมี My Car Finder หรือระบบค้นหาตำแหน่งรถ ซึ่งฟังก์ชั่นนี้จะช่วยค้นหา และนำทางไปยังรถได้ในทันที

การใช้บริการ NissanConnect Services ใช้ฟรี 3 ปี เมื่อครบกำหนดสามารถสมัครและซื้อบริการนี้เพิ่มเติมได้

ติดตั้งฟังก์ชั่น SOS เพื่อขอความช่วยเหลือจากศูนย์ให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินได้ทันทีผ่านระบบเครื่องเสียงภายในรถยนต์ เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน

ยังคงรักษาจุดเด่นเรื่องความสมดุลของพื้นที่ใช้สอย สำหรับผู้โดยสารและพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง

ห้องโดยสารมีความกว้างขวาง มีพื้นที่เข่าทั้งสำหรับผู้โดยสารด้านหน้า และด้านหลังที่มีระยะห่างนั่งสบาย

เบาะนั่งคู่หน้าพรีเมียมวัสดุ QUOLE MODURE ไม่สะสมความร้อน

ส่วนที่เก็บสัมภาระทางด้านหลัง ออกแบบให้สามารถบรรจุสัมภาระชิ้นใหญ่ เช่น ถุงกอล์ฟ กระเป๋าเดินทางใบใหญ่

ขุมพลังบล็อกเดิมเพราะแรงสะแด่วแห้วอยู่แล้ว เครื่องยนต์ HRA0 ขนาด 1.0 ลิตร เทอร์โบ กำลังสูงสุด 100 แรงม้า แรงบิด 152 นิวตัน-เมตร

ระบบเกียร์เป็นแบบ XTRONIC CVT พร้อม D-Step Logic ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์นุ่มนวล แต่ให้อัตราเร่งต่อเนื่องและทันใจ อัตราเร่งที่ดีขึ้นจะช่วยเพิ่มความมั่นใจ และปลอดภัยเมื่อต้องเร่งแซง

เรื่องความแรงการันตีได้เพราะผมเคยทดสอบขับมาอย่างน้อย 2 ครั้ง

ช่วงออกตัวถือว่าทำได้ดี กดคันเร่งดันความเร็วไปถึงระดับ 120-130 กิโลเมตร/ชั่วโมง แค่อึดใจเดียวเท่านั้น

รุ่นนี้ผมเลยทดสอบตอนถนนโล่งๆ ยิงไปถึง 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง มาแล้ว

ช่วงล่างด้านหน้าแม็กเฟอร์สันสตรัต/เหล็กกันโคลง ด้านหลังทอร์ชั่นบีม/เหล็กกันโคลง รองรับได้ดี

เสียงลมและเครื่องเข้ามาน้อยมากที่ความเร็ว 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถือว่าเก็บเสียงได้น่าพอใจ

ความประหยัดขับแบบปกติ ตามอีโคสติ๊กเกอร์อยู่ระดับ 23.3 กิโลเมตร/ลิตร หากไม่เท้าหนักเกินไปความสิ้นเปลือง 17-18 กิโลเมตร/ลิตร ต้องมีให้เห็น

นิสสัน อัลเมรา ใหม่ ยกระดับความปลอดภัยอีกขั้นด้วยการใส่เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ตรวจสอบแรงดันลมยาง (Tire Pressure Monitoring System – TPMS) เป็นครั้งแรกที่มีการติดตั้งเทคโนโลยีนี้ในเซ็กเมนต์

ทำให้เจ้าของรถทราบแรงดันลมยางแต่ละเส้น รวมทั้งเตือนเมื่อลมยางต่ำหรือสูงกว่ากำหนด

และมีเทคโนโลยีแจ้งเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง (Lane Departure Warning – LDW) ที่จะส่งสัญญาณเตือนด้วยไฟกะพริบและการสั่นที่พวงมาลัยเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถโดยไม่ได้ตั้งใจ

ส่วนอื่นๆ ยังครบครัน อย่าง 360 SAFETY SHIELD ที่ให้การปกป้องเต็มพิกัด

ประกอบด้วยเทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังขณะถอย, กล้องอัจฉริยะมองรอบทิศทาง, ช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน, ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ ถุงลมนิรภัย SRS 6 จุดเป็นมาตรฐานในทุกรุ่นย่อย ฯลฯ

นิสสัน อัลเมรา ใหม่ มี 4 รุ่นย่อย ราคา 549,000-699,000 บาท

พร้อมกันนี้มีชุดแต่งให้เลือกตามชอบถึง 3 แพ็กเกจ ประกอบด้วย Iconic Package 11,900 บาท, Ignite Package 19,990 บาท และ Ultimate Package 29,990 บาท

อย่างที่บอกตอนแรกว่าเซ็กเมนต์นี้ซัดกันเดือดเหลือเกิน นิสสันเลยไม่รอช้าจัดแคมเปญเงินดาวน์ 0% หรือผ่อนต่อเดือนเริ่มต้น 5,977 บาท หรืออัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.99%

รวมถึงประกันภัยชั้นหนึ่ง Nissan Premium Protection (NPP) ระยะเวลา 1 ปี พร้อมส่วนลดเงินสด 10,000 บาทสำหรับลูกค้าเก่า •

 

 

ยานยนต์ สุดสัปดาห์ | สันติ จิรพรพนิต

[email protected]