ทดสอบ ‘C 350e AMG Dynamic’ สปอร์ตเฟี้ยวพลัง ‘ปลั๊ก-อิน ไฮบริด’

สันติ จิรพรพนิต

มีโอกาสพบปะกับทีมผู้บริหารเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา หลังทักทายถามสารทุกข์สุกดิบ และความเคลื่อนไหวของค่ายดาวสามแฉกในเมืองไทย

ก่อนตบท้ายด้วยการตกลงว่าจะส่งรถยนต์มาให้ลองของเสียหน่อย เพราะผมห่างหายจากการสัมผัสรถค่ายนี้มาพักใหญ่แล้ว

จัดไปกับรุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไม่นาน “The New C-Class C 350e AMG Dynamic”

เป็นเก๋งตัวท็อปขุมพลังแบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด

เมอร์เซเดส-เบนซ์ เคลมว่าเป็นรถยนต์ที่วิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนไกลสุดในกลุ่มรถยุโรปเซ็กเมนต์เดียวกัน

โดยมีพิสัยทำการสูงสุด 100 กิโลเมตร และทำความเร็วสูงสุด 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง

หากต้องการความเร็วกว่านั้นไม่มีปัญหา เพราะเครื่องยนต์พร้อมมาเสริมกำลังอยู่แล้ว

เปิดประตูเข้าไปภายใน สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือแสงจากใต้กระจกมองข้างฉายลงพื้นเป็นตราสัญลักษณ์ดาวสามแฉก

เรียกว่าขึ้นรถตอนกลางคืนปลอดภัยมากขึ้น และยังเป็นจุดเด่นให้คนรอบข้างเมียงมอง แถมบางคนเข้ามาทักทายและชมว่าสวยเท่ดีจัง

ภายในที่เด่นสุดๆ ไม่พ้นสีแดงสดใสตัดกับสีดำตกแต่งแบบ AMG Line interior อารมณ์สปอร์ตมาเต็ม

พวงมาลัย 3 ก้านจับกระชับมือพร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น ซึ่งแยกปุ่มเป็นแบบ 2 ชั้น

หน้าจอข้อมูลการขับขี่แบบ Digital ขนาด 12.3 นิ้ว เห็นกระจ่างตาสุดๆ

ขยับมาตรงกลางเป็นหน้าจอขนาด 11.9 นิ้ว วางแนวตั้งคล้ายไอแพด

ระบบมัลติมิเดียแบบ MBUX ระบบปรับรูปแบบเครื่องเสียงแบบส่วนตัว (Sound personalization) ระบบสั่งงานด้วยเสียง รวมถึงฟังก์ชั่นการสแกนลายนิ้วมือ

ระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester 3D surround sound system

ระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย (Wireless charging)

ระแบบแอร์อัตโนมัติ เจาะช่องแอร์ทรงกลมตรงกลาง 3 ช่องวางอยู่เหนือคอนโซลหน้า

เวลาลองขับจริงดีมากเพราะตัดปัญหาลมแอร์เป่ามือซ้าย

มีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลังมาให้ด้วย

ไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารปรับได้ 64 เฉดสี และ color moods 10 รูปแบบ

กดปุ่มสตาร์ตเสียงเครื่องยนต์เงียบจนไม่แน่ใจว่าติดเครื่องหรือยัง เพราะช่วงแรกใช้ระบบไฟฟ้าเป็นตัวนำ

หลังปรับโน่น นี่ นั่น เพื่อให้เข้ากับสรีระของผมเรียบร้อย กดคันเร่งให้รถเคลื่อนตัวออกไป

ด้วยขุมพลังเบนซิน 1,999 ซีซี ความจุแบตเตอรี่ 25.4 กิโลวัตต์ กำลังสูงสุด 313 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 550 นิวตัน-เมตร

ระบบเกียร์ 9G-Tronic

อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 6.1 วินาที ความเร็วสูงสุด 245 กิโลเมตร/ชั่วโมง

หน้าจอผู้ขับขี่ดูล้ำๆ ปรับรูปแบบแสดงผลได้ 3 แบบ Discreet, Sporty, Classic

มี 3 โหมดการใช้งาน Navigation, Assistance, Service

เกียร์ยังอยู่บริเวณคอพวงมาลัยด้านขวา ใช้นิ้วขยับขึ้นลงได้สบายๆ

โหมดการขับขี่มีหลายรูปแบบ อาทิ ไฮบริด สปอร์ต อิเล็กทริก และแบตเตอรี่โฮล

หลักๆ ในทริปนี้ผมเน้นไปที่ไฮบริด กับสปอร์ต

โหมดไฮบริดใช้ไฟฟ้าในช่วงแรก จนเมื่อความเร็วเกินกว่าที่พลังไฟฟ้าจะทำได้ เครื่องยนต์จะเข้ามาเสริมแรง

การปรับเปลี่ยนแทบไม่รู้สึก จะมีเพียงเสียงเครื่องยนต์เท่านั้น

ด้วยขุมพลังขนาดนี้จัดจ้านทุกย่านความเร็ว

ที่นั่งคู่หน้าปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมหน่วยบันทึกความจํา มีระบบอุ่นเบาะ Heated front seats

โอบกระชับร่างกายได้ดี

แผงคอนโซลกลางแบบ high-gloss black สีดํา เน้นความเรียบหรู

ที่วางแขนซ้ายแบบนุ่มผ่อนคลายได้ดีเวลาขับขี่

ส่วนผู้โดยสารตอนหลังหากมีแดดส่อง สามารถเปิดม่านบังแดดหลัง และบริเวณประตูข้างได้ด้วย

พื้นที่เหนือศีรษะไม่ถึงกับอึดอัด แถมมีพาโนรามิกซันรูฟ แต่เปิดได้เฉพาะแผ่นด้านหน้าเท่านั้น

ช่วงล่างพร้อมระบบกันสะเทือนเลือกได้ตามสภาพการขับขี่ ระบบกันสะเทือนแบบพาสซีฟ ไม่ต้องปรับอะไรมากเพราะระบบจะช่วยจัดการให้ทั้งหมด

หรือจะเลือกแบบสปอร์ตเพิ่มการยึดเกาะถนน และมั่นใจมากขึ้นเมื่อสาดเข้าโค้งแรงๆ

แต่จริงๆ ในการใช้งานแทบไม่ต้องปรับอะไรให้ยุ่งยาก เพราะที่เซ็ตมาเพียงพอแล้ว

พวงมาลัยคมกริบ และนิ่งสุดๆ แม้ความเร็วจะค่อนข้างสูงก็ตาม

ตัวช่วยต่างๆ ทำให้การขับขี่ง่ายและปลอดภัยมากขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นระบบรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้า (Active Distance Assist DISTRONIC)

Lane Tracking package ที่ประกอบด้วยระบบ Active Lane Keeping Assist ช่วยดึงรถกลับเข้าช่องจราจรเดิมโดยอัตโนมัติหากตรวจพบความเสี่ยงในการชน

ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดบอดสายตา (Blind Spot Assist)

ช่วยจอดด้วย PARKTRONIC ที่ตรวจจับพื้นที่จอดรถว่าง

กล้องถอยหลังและเซ็นเซอร์อัลตราโซนิก

ส่วนการชาร์จไฟทำได้ค่อนข้างเร็ว กรณีไฟฟ้ากระแสตรง (DC charger) ใช้เวลาเพียง 30 นาที เต็ม 100% ส่วนการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ (AC charger) ใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง

เรียกว่าไปต่างจังหวัดแล้วไฟฟ้าหมดสามารถจอดชาร์จแวะดื่มกาแฟเพลินๆ ก็ไปต่อได้อีกเป็นร้อยกิโลเมตร

หรือใครขี้เกียจรอ เติมน้ำมันแทนก็แล้วแต่ความสะดวก

ส่วนภาพลักษณ์ภายนอกขอกล่าวถึงพอคร่าวๆ กระจังหน้าคาดโครเมียม 2 เส้น ตรงกลางเป็นโลโก้ขนาดใหญ่

ไฟหน้า DIGITAL LIGHT ความละเอียดมากกว่า 1 ล้านพิกเซลในโคมไฟแต่ละข้าง สาดแสงไกลถึง 650 เมตร

มีฟังก์ชั่น Adaptive Highbeam Assist Plus ควบคุมไฟ LED ให้สอดรับกับสถานการณ์บนท้องถนนได้อย่างอิสระ

และ ULTRA RANGE Highbeam ที่ช่วยเพิ่มวิสัยทัศน์ในการขับขี่ให้เข้ากับแต่ละสถานการณ์การขับขี่ได้อย่างเหมาะสม

มีระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive Highbeam Assist) ปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย (ALS-Active Light System)

หลังคาด้านหลังลาดลงเล็กน้อย ไฟท้ายแอลอีดีทรงสวย ท่อไอเสียคู่ทรงเหลี่ยม

ระบบเปิด-ปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้มือ

ล้ออัลลอย AMG 5 twin-spoke ขนาด 18 นิ้ว

เป็นรถที่สวยสะกดจริงๆ แถมมาพร้อมชุดแต่ง AMG ครบสูตร ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่มแล้ว

เมอร์เซเดส-เบนซ์ “C 350 e AMG Dynamic” ราคา 3,350,000 บาท •

 

 

ยานยนต์ สุดสัปดาห์ | สันติ จิรพรพนิต

[email protected]