ผู้เขียน | อัษฎา อาทรไผท |
---|---|
เผยแพร่ |
Upper West Side จาก Hammer Boy ของ Banksy สู่ Strawberry Field ของ John Lennon
ในที่สุดภารกิจบางอย่าง ก็พาผมมาที่นิวยอร์กอีกครั้ง ส่วนเหตุผลที่ผมดั้นด้นมาเดินดุ่ม ๆ อยู่ที่ละแวก Upper West Side หรือแถบถนน West 59th ถึง 110th Street ฝั่งตะวันตกของเกาะแมนฮัตตัน มหานครนิวยอร์กนั้น หลัก ๆ คือตั้งใจจะมาชมผลงานของศิลปินลึกลับชื่อดัง Banksy ที่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครทราบว่าเขาคือใครกันแน่
แต่ที่ทราบแน่ ๆ คือผลงานของเขาที่แอบมาฝากไว้ตามที่ต่าง ๆ แม้โดนลบ โดนล้าง โดนทำลายไปหมด แต่ใน นิวยอร์กยังมีหลงเหลือให้ชมกันอยู่ที่กำแพงหลังร้านขายรองเท้า Designer Shoes Warehouse บนถนน West 79th Street ซึ่งนับเป็นความโชคดีของมวลมนุษยชาติ ที่ผลงานนี้ยังมีอยู่ให้ชมมาตั้งแต่มันกำเนิดขึ้นเมื่อ ตุลาคม ค.ศ. 2013
สำหรับผลงานของ Banksy ที่มีอยู่ตามกำแพงต่าง ๆ จะเป็นงานพ่นสเปรย์ลงบนแบบฉลุที่เตรียมมาแล้ว วิธีนี้เหมาะกับการเคลื่อนที่เร็ว เอื้อให้การแอบเข้ามา พ่น แล้วจากไปทำได้ในเวลาอันสั้น โดยไม่ทันมีใครเห็น
ตามปกติผลงานของ Banksy ถ้าไม่โดนทำลาย ก็จะโดนสกัดออกจากกำแพงไปขาย เพราะมีมูลค่าสูงมาก แต่สำหรับผลงานภาพเงาเด็กน้อยกำลังง้างค้อนปอนด์ (ที่วางตำแหน่งไว้ตรงหัวดับเพลิงพอดี ทำให้แลดูเหมือนเด็กน้อยกำลังจะทุบไปที่ตรงนั้น) โชคดีกว่าผลงานอื่นนัก
เมื่อเจ้าของอาคาร ซึ่งเป็นเจ้าของร้านของชำเก่าแก่ของนิวยอร์ก ได้รับทราบว่ามีของดีมาประทับอยู่บนกำแพงของเขา ก็รีบนำกระจกอคริลิกมาปิดทับผลงานไว้ทันที ทำให้ Hammer Boy ยังคงมีอยู่ให้เห็นจนทุกวันนี้
จริง ๆ แล้วการมาชมผลงานชิ้นนี้ สามารถนั่งรถไฟใต้ดินมาขึ้นที่สถานี 79th Street ได้เลย จากนั้นเดินไม่ถึงนาทีก็จะเห็น แต่ผมเองเลือกที่จะค่อย ๆ เดินมาจากที่พักแถว ๆ 39th Street เพื่อซึมซับบรรยากาศของมหานครนิวยอร์ก
ไปพร้อม ๆ กับรับความหนาวเย็นของต้นฤดูหนาวไปด้วย
เมื่อเดินมาถึงกำแพงที่ตั้งของผลงาน พบว่ามันเป็นกำแพงทั่วไป ที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากไปกว่าการมีกระจกครอบผลงานเอาไว้ บริเวณนั้นยังใช้เป็นที่ทิ้งขยะเหมือนเดิม เคยเห็นในภาพถ่าย บางทีจะมีถุงขยะวางเกะกะ ส่วนผู้คนที่ผ่านไปมา ก็ไม่ได้สนใจอะไรกับภาพนัก คงเพราะความคุ้นชิน แต่จากการสังเกตุ นาน ๆ ทีจะมีคนแบบผม ที่ดั้นด้นมาชมเด็กน้อยถือค้อนโดยเฉพาะ ก็จะตรงเข้ามายืนดูสักพัก ถ่ายภาพสักหน่อย แล้วก็เดินจากไป แล้วคนต่อไปก็เดินเข้ามา
สำหรับผม เมื่อผมชื่นชม Hammer Boy จนพอใจ ก็เหลือบไปเห็นบนกูเกิลเมพว่า ไม่ไกลกันนี้มี The Dakota อพาร์ทเมนต์สุดหรู ที่เคยเป็นที่พักอาศัยของสุดยอดศิลปินดนตรี John Lennon และนี่ยังเป็นที่ ๆ เขาจบชีวิตลง หลังโดนลอบสังหารที่หน้าอพาร์ทเมนต์นั้นด้วย นี่นับเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของคนดนตรี ทำให้ระหว่างเดินเท้ากลับ ผมตัดสินใจแวะชมสักหน่อย
เมื่อเดินมาถึงถนน West 72nd ช่วงที่อยู่ตรงข้ามกับสวนสาธารณะ Central Park ก็พบกับ The Dakota อพาร์ทเมนต์หรูอายุ 139 ปีที่ดูเหมือนอาคารจากยุคก่อน ที่รับรู้ได้ถึงความหรูหราเต็มพิกัด ด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Renaissance Revival ที่ร่ำรวยรายละเอียดไปทุกอณู สำคัญที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น National Historic Landmark ของมหานครนิวนอร์กด้วย
ว่ากันว่าอพาร์ทเมนต์แห่งนี้ มีตั้งแต่ยูนิตแบบ 4 ห้อง ไปจนถึง 20 ห้อง โดยมีบุคคลมีชื่อเสียงมากมายหลายท่านเคยอยู่อาศัยที่นี่ตลอดกาลเวลาที่ผ่านมา รวมทั้ง John Lennon ด้วย ซึ่งเขาก็มาจบชีวิตลงตรงหน้าอพาร์ทเมนต์แห่งนี้นี่เองเมื่อปี ค.ศ. 1980
เมื่อผมมาถึง พบว่ามีแฟนเพลงของ John Lesson มาด้อม ๆ มอง ๆ The Dakota กันอยู่พอสมควร แต่ไม่มีใครเข้าไปใกล้ทางเข้า เพราะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยยืนระแวดระวังอยู่ เชื่อว่าน่าจะมีคนพยายามเดินไปดูจุดที่ Johnson Lennon โดนลอบสังหารกันอยู่เรื่อย ๆ
ผมไม่ได้เดินเข้าไป แต่เดินข้ามมาอีกฝั่งของถนน เพื่อที่จะได้เห็นตัวอาคารถนัด ๆ จากนั้นก็เดินเข้า Central Park ไป ซึ่งเมื่อเดินเข้าไป ก็พบกับอนุสรณ์ของ John Lennon ที่ประดับพื้นด้วยโมเสกเป็นวงกลมสไตล์ Greco-Roman พร้อมมีชื่อเพลง Imagine บทเพลงอันลือลั่นของเขาอยู่ตรงกลาง จากตรงตำแหน่งนั้นเมื่อเราหันหลังกลับไป จะมองเห็น The Dakota ที่ห่างออกไปไม่ไกลพอดี
บริเวณนี้ใน Central Park เป็นสวนขนาดย่อมทรงหยดน้ำตาในสวนใหญ่อีกที และถือส่วนที่เงียบสงบของที่นี่ ผมพบว่าแม้เขาจะจากไปได้กว่า 40 ปีแล้ว แต่ยังมีผู้คนมาระลึกถึงเขากัน ณ สถานที่แห่งนี้มากมาย ความเศร้าไม่หลงเหลือ แต่ความศรัทธานั้นยังแรงกล้านัก
นอกจากผู้มาเยือนทั่วไป ยังมีศิลปินร้องเพลงบรรเลงกีตาร์โปร่ง ขับกล่อมบทเพลงของ John Lennon เป็นบรรยากาศให้ฟรี ๆ พร้อมทั้งมีรถเข็นขายภาพถ่ายของเขาอีกด้วย คนขายดูเหมือนจะทราบทุกอย่างเกี่ยวกับเขาดี คอยชี้ให้ผู้มาเยือนดูว่าตรงไหนคือจุดที่เขาโดนยิง ตรงไหนคือหน้าต่างห้องพักของเขา
แม้ผมไม่ใช่แฟนเพลงของเขา เมื่อมายืน ณ ตรงนั้น ก็รับรู้ได้ถึงพลังจากผลงานของเขา ที่ยังคงเปล่งออกมาอย่างข้ามกาลเวลา ที่แม้แต่ผมเองก็ยังต้องเดินมาสัมผัส และการเดินดุ่ม ๆ มา Upper West Side ของผมจบลงที่การเดินเข้า Central Park ไป เพื่อเดินตัดไปยังฝั่ง East Side ต่อไป ส่วนจะไปที่ไหน เดี๋ยวจะมาเล่าต่อนะครับ