ประเภทพระ “พระ…และครู…ที่คนไทยต้องการ”

วัชระ แวววุฒินันท์

ชื่อตอนครั้งนี้ว่า “ประเภทพระ” นั้น จริงๆ แล้วเป็นชื่อตอนตอนหนึ่งในเรื่องสั้นชุดว้าวุ่นของผมที่เคยเขียนไว้นานแล้ว

ใครที่เคยได้อ่านเรื่องสั้นชุดนี้คงรู้ว่าเป็นเรื่องสั้นที่ผมนำเอาชีวิตที่หลากหลายของกลุ่มเพื่อนสถาปัตย์ จุฬาฯ มาเขียนถึง แต่พวกมัน เอ้อขอโทษ พวกเพื่อนๆ เค้าบอกว่า “ผมเอามาหากิน” มากกว่า

จะอย่างไรก็ตาม ก็มีคนติดตามอ่านไม่น้อย และหัวเราะไปกับเรื่องราวสนุกๆ ของกลุ่มเพื่อนสถาปัตย์ชุดนี้ ซึ่งก็พากันถามว่าเป็นเรื่องจริงทั้งหมดไหม ก็เคยตอบไปว่าเรื่องจริงมีราว 80% อีก 20% นั้น…จริงมากกว่า แฮะๆ

เมื่อกาลเวลาผ่านไป ตัวละครที่ผมเขียนถึงหลายคนได้กลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงสังคม โดยเฉพาะในแวดวงบันเทิง ซึ่งก็มีแฟนหนังสือจับมาโยงกันว่า ตัวละครตัวนั้นเป็นใครในชีวิตจริง

ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมโนกันถูกแหละครับ

 

สําหรับตอน “ประเภทพระ” ตัวละครในเรื่องมีชื่อว่า “หยวก” และที่หยวกไปเกี่ยวพันกับพระก็เนื่องจากตอนไปเกณฑ์ทหารที่บ้านเกิดลพบุรี ความที่ตัวหยวกนั้นตาข้างซ้ายบอด ใช้การไม่ได้มาตั้งแต่ยังเด็ก เหตุเพราะโดนวัตถุที่ไม่พึงปรารถนามาสัมผัสดวงตา ทั้ง ไม้ หิน เหล็ก แต่ต่างกรรมต่างวาระ จนทำให้ตนเองนั้นสามารถใช้ดวงตาได้เพียงข้างเดียว

พอไปเกณฑ์ทหารซึ่งก็คงไม่ได้ถูกเกณฑ์อยู่แล้ว เพราะร่างกายไม่ครบ 32 โดยเฉพาะดวงตาที่เป็นอวัยวะสำคัญ เจ้าหน้าที่เมื่อตรวจเอกสารก็ไล่ให้ไปนั่งรอรวมพลกับคนอื่นๆ ที่เข้าข่ายประเภทเดียวกัน

หยวกเล่าว่าพอเปิดประตูเข้าไปเพื่อนั่งรวมกับคนอื่นๆ ตามที่เขาว่า ปรากฏว่าคนอื่นๆ ที่ว่านั่งอยู่นั้นล้วนห่มจีวรกันเหลืองลออ เลยถึงบางอ้อว่าเขาจัดให้เป็นพวกเดียวกัน

หากคนอื่นถูกจัดเป็น “ดี 1 ประเภท 1”

หยวกก็เป็น “ประเภทพระ” ด้วยประการฉะนี้เอง

อย่างที่บอกน่ะนะครับว่า เมื่อเวลาผ่านไปก็มีการสืบทราบว่า ที่แท้หยวกนั้นก็คือ คุณดี้-นิติพงษ์ ห่อนาค นักเขียนเพลงชื่อดังนั่นเอง

 

ที่จะเขียนถึงต่อไปคือ ดี้เป็นอะไรไม่รู้ที่มักจะมีข้อข้องแวะกับพระกับเจ้าอยู่เสมอ ทั้งในเชิงตั้งข้อสังเกต จนไปถึงตั้งข้อสงสัย มีทั้งชื่นชมศรัทธาและติติงแกมขบขัน

ในโลกยุคนี้ใครๆ เขาก็สื่อสารกันผ่านเฟซบุ๊ก ใครใคร่จะเสนอความเห็นใดๆ ก็เขียนโพสต์เอาไว้ ก็จะมีคนมาอ่านและออกความเห็นกันไปต่างๆ นานาให้ได้ดราม่ากันสนุกสมอง

เฟซบุ๊กของนิติพงษ์นั้นถ้าเป็นดาราก็ต้องจัดอยู่ในขั้นซุป”ตาร์เพราะมีเรตติ้งดี มีคนติดตามอ่านแสนกว่าคน เพราะอ่านสนุกมีสาระแทรกอารมณ์ขัน และมีมุมมองแปลกๆ ให้ได้คิดตามเสมอ บางชิ้นเป็นความรู้ บางชิ้นเป็นความคิดเห็น แต่ก็ชวนคิดต่อและกระตุ้นสมองได้ดี

ดี้มีวิธีการเขียนการเล่า โดยพูดกับตัวละคร 2 ตัวคือทิดเอิบ กับแม่ประไพ สำนวนก็จะกระเดียดไปทางคนโบร่ำโบราณ แต่ก็มีมุขสอดแทรกตลอด และอย่างที่บอกว่าดี้นั้นมักชอบข้องแวะกับพระสงฆ์องค์เจ้า จึงขออนุญาตคัดลอกบางโพสต์ของเขาที่เกี่ยวกับพระกับเจ้ามาถ่ายทอดให้อ่านกันพอหอมปากหอมคอ

ชิ้นนี้โพสต์ไว้เมื่อวันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

“…วันเสาร์ มาฆบูชา มีเป็นมาทุกปี

…วันอาทิตย์ เป็นวันสำคัญที่ตลอดทั้งชีวิตชาวพุทธ ก็ไม่เคยได้เห็นภาพนี้มาก่อน…พระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งสำหรับฉัน พระองค์ท่านเป็นสังฆราชที่อกาลิโกที่สุด คือเชื่อมโยงได้ทั้งรุ่นกาลก่อนที่เป็นพระแท้ และเชื่อมโยงถึงพุทธศาสนิกชนในยุคใหม่…

…เป็นพระที่ยังมีศีลาจารวัตรดั่งสมัยพุทธกาล แต่ทันสมัยกับปัจจุบันกาล สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษเพื่อเผยแผ่ศาสนาได้อย่างสมบูรณ์ ทรงแข็งแรง ทะมัดทะแมงทั้งกายและความคิด…”

ดูจากที่เขียนแล้ว ดี้คงจะมีความศรัทธาเลื่อมใสต่อสมเด็จพระสังฆราชพระองค์นี้ไม่น้อย อ่านคำชื่นชมของเขาแบบเล่นคำเล่นสำนวนแล้ว ทั้งเห็นภาพพระองค์ท่านและได้ยิ้มไปในตัว

ส่วนต่อไปนี้ก็เป็นอีกโพสต์หนึ่งที่ดี้เขียนถึงพระองค์ท่าน

“…ปฐมโอวาทจากสมเด็จพระสังฆราชตอนหนึ่ง…

เรายังไม่ได้พูดอะไรมาก ขออย่าเพิ่งสาธุเร็วนัก…

กราบแทบพระบาท…

ทรงเฉียบคม แข็งแรง…

กราบพระบาทประทานอภัย ถ้าจะพูดว่า…

นี่คือ พระ…และครู…ที่คนไทยต้องการ สมัยโบราณ พระคือครู และวัดคือโรงเรียน และจากนี้ไปสำหรับเกล้ากระหม่อม…ฝ่าพระบาททรงเป็น “ไอคอล” ของเกล้ากระหม่อม และพุทธศาสนิกชนทั้งประเทศ…”

ใครที่อยากอ่านมากกว่านี้ก็ลองติดตามจากเฟซคุณดี้เขาได้นะครับ

 

นอกจากดี้จะเขียนโพสต์ถึงสมเด็จพระสังฆราชแล้ว ยังเขียนถึงพระอีกรูปหนึ่งด้วยที่กำลังเป็นข่าวเป็นคราว

“…บางทีฉันก็ไม่อยากให้คดีนี้จบง่ายๆ นะ แม่ประไพ

วันๆ ชีวิตเราจะมีเรื่องสนุกเป็นมหรสพได้สักกี่เรื่อง…

จะรอดูแต่ “หน้ากากนักร้อง” อย่างเดียวก็มาแค่สัปดาห์ละหน…เดี๋ยวก็จบซีซั่นแล้ว

แต่ “หน้ากากนะจ๊ะ” นี่สิ…เรื่องยาวดีมีมุขใหม่ตลอด น่ารักอ้ะ…

เค้าไว้เล่นหลอกพ่อหลอกแม่ไปเที่ยว…ทำเป็นไม่สบาย แล้วเอาหมอนวางเป็นขา เป็นลำตัวเป็นหัว แล้วผ้าห่มคลุม แล้วไปเที่ยวกับเพื่อน”

นี่มาเล่นกับคดีระดับนี้ได้ด้วย…

น่ารักจริงๆ อ้ะ… เหมือนเล่นโป้งแปะเลย

อันนี้ไม่ใช่ “ภิกขุ” ล่ะ…ภาษาญี่ปุ่นเขาเรียก “คิกขุ”…

 

เป็นไงครับ อารมณ์ความรู้สึกของคุณดี้เขากับพระกับเจ้าทั้ง 2 รูปช่างแตกต่างกันจริงๆ แต่ที่เหมือนกันคือจะชมเชยก็มีอารมณ์ขัน จะตั้งข้อสงสัยก็หยอดมุขให้ได้ฮา

แต่ที่น่ากังขาแก่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายเสียจริงก็คือ ทำไม้…ทำไมวิธีคิด วิธีปฏิบัติตนของพระสงฆ์ทั้ง 2 รูปนี้ช่างแตกต่างกันเหลือเกิน ความสง่างามนั้นอย่าได้มาเทียบกันเลย

รูปหนึ่งนั้นไม่มีแม้แต่รถประจำตัว แต่อีกรูปมีทรัพย์สินมากล้นและจานบิน

รูปหนึ่งนั้นไม่ต้องมีคนและพระแวดล้อมเยอะ แต่อีกรูปนั้นเหมือนเป็นอาณาจักรย่อมๆ

ชื่อตอนตอนนี้ ชื่อว่า “ประเภทพระ”

ก็ต้องย้อนถามเหมือนกันว่า เป็นพระประเภทไหนหรือถึงได้ทำอะไรได้สับสนอลหม่าน คิกขุๆ ถึงปานนี้

ตอบหน่อยสิจ๊ะ