“อินทนิลน้ำ-ว่านหางจระเข้” ตัวช่วยลดน้ำตาลในเลือด ที่ผ่านการทดลองแล้ว!

สมุนไพรเพื่อสุขภาพ
โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง
มูลนิธิสุขภาพไทย www.thaihof.org

 

เวลานี้คนไทยป่วยด้วยเบาหวานจำนวนมาก ไม่ใช่คนเมืองเท่านั้น แต่คนในหมู่บ้านก็เป็นเบาหวานกันมากขึ้น ขอแนะนำให้ได้รู้จักสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการเบาหวาน ดังนี้

เริ่มจากต้นอินทนิลน้ำ {Lagerstroemia speciose (L) Pers.} เป็นไม้ใหญ่ในป่าเบญจพรรณที่ออกดอกสวยงาม จนมีพ่อค้าต้นไม้นำมาขาย หรือแนะนำให้ปลูกเป็นไม้ประดับ อินทนิลน้ำมีชื่อเสียงมาแต่โบราณ ทั้งประสบการณ์การใช้ของหมอพื้นบ้านและที่บันทึกในตำรับตำราโบราณ ต่างกล่าวตรงกันว่า ใช้รักษาเบาหวาน ซึ่งอาจถือว่าเป็นสมุนไพรยอดนิยมชนิดหนึ่งที่มีคนใช้กันมาก

วิธีใช้ทำได้หลายวิธี แต่ส่วนใหญ่จะใช้ใบอินทนิลน้ำที่เป็นใบแก่ ล้างน้ำสะอาด นำมาสัก 1 หยิบมือ ต้มกับน้ำ 1 ลิตร บางที่ก่อนต้มจะหั่นใบเป็นชิ้นเล็กๆ และใช้หม้อดินต้ม แต่ในปัจจุบันใช้หม้อสแตนเลสก็ได้ ควรต้มด้วยไฟอ่อนๆ นาน 15 นาที กินครั้งละ 1 ถ้วยชา วันละ 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น สามารถดื่มได้ทุกวัน กินต่อเนื่อง 2-4 สัปดาห์ จะเห็นผล

มีบางรายใช้วิธีการคั่ว โดยนำใบอินทนิลน้ำล้างสะอาด นำไปตากแดดให้แห้ง ใช้ 8-9 ใบ แล้วคั่วให้กรอบ เวลาใช้ ให้นำใบแห้งมาชงกับน้ำร้อนแบบชงชา ให้กินต่างน้ำ ได้ผลเช่นกัน

แต่ในปัจจุบันมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากอินทนิลน้ำหลายรูปแบบ ทั้งรูปยาน้ำ สารสกัด แคปซูล ผงแห้ง และเป็นชาชง และอยากจะบอกว่ามีผู้นำอินทนิลน้ำไปจดสิทธิบัตรในรูปแบบที่เป็นยาสูบ เนื่องจากมีการศึกษาว่าสามารถนำใบอินทนิลน้ำมาทดแทนใบยาสูบ (บุหรี่) และพบว่าช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้

มีการศึกษาวิจัยในมนุษย์อีกว่า ทดลองให้ผู้ป่วยกินยาต้มจากใบอินทนิลน้ำ ในปริมาณ 80 กรัมต่อคน ปรากฏว่าช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงได้ และมีการทดลองให้ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 กินสารสกัดจากอินทนิลน้ำ ซึ่งยาตัวนี้มีสารสำคัญที่อยู่ในอินทนิลน้ำ ชื่อว่า corosolic acid การศึกษาพบว่า เมื่อให้กินยาที่มีปริมาณสารดังกล่าว ขนาด 48 ม.ก./วัน เป็นเวลานาน 2 สัปดาห์ สามารถลดน้ำตาลในเลือดได้

นอกจากนี้ ยังมีการจดสิทธิบัตร สารที่ค้นพบในอินทนิลน้ำอีก ได้แก่ สาร 1, 2, 3, 4 – penta – O – galloyl-D-glucose และ ellagitannins ซึ่งมีฤทธิ์สามารถลดน้ำตาลในเลือดได้

อินทนิลน้ำ สมุนไพรท้องถิ่นของเรา จึงมีศักยภาพในการช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ แต่อย่างไรก็ตาม มีข้อควรรู้ควรระวังว่า เด็ก สตรีตั้งครรภ์ และหญิงให้นมลูก และคนที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ห้ามใช้ผลิตภัณฑ์อินทนิลน้ำ ส่วนผู้ที่เป็นเบาหวานเมื่อใช้ก็ต้องติดตามดูระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้ฤทธิ์ยามากเกินไปจนเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำผิดปกติ

สมุนไพรอีกชนิดที่อยากแนะนำให้เป็นทางเลือกสำหรับผู้เป็นเบาหวาน คือ ต้นว่านหางจระเข้ (Aloe barbadensis Mill.)

สมุนไพรชนิดนี้คนทั่วไปมักรู้จักในชื่อเสียงเป็นยาแก้แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก หรือเป็นเครื่องสำอางบำรุงผิวพรรณชั้นดี แต่น้อยคนนักที่รู้ว่าว่านหางจระเข้มีฤทธิ์ช่วยลดน้ำตาลในเลือดด้วย

มีการศึกษาทางคลินิกหรือทดลองในผู้ป่วย พบว่ากลุ่มผู้ป่วยที่ยังไม่ได้กินยาแก้เบาหวาน และกลุ่มผู้ป่วยที่กินยารักษาเบาหวาน gilbenciamide ขนาด 5 ม.ก. จำนวน 2 เม็ด เมื่อได้กินน้ำว่านหางจระเข้ ความเข้มข้น 80% ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ วันละ 2 ครั้ง ช่วงเช้า และก่อนนอน กินนาน 42 วัน พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลง

ซึ่งการศึกษานี้พบว่า เมื่อกินน้ำว่านหางจะเข้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน จะช่วยให้ลดน้ำตาลในเลือดได้ดีกว่ากินยาแผนปัจจุบันอย่างเดียว และไม่มีผลต่อตับและไต

ยังมีการศึกษารายงานว่า ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เมื่อกินน้ำว่านหางจระเข้ ปริมาณ 150 ม.ล. วันละ 1 ครั้ง เวลาเช้า พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดและค่าระดับน้ำตาลสะสมในเลือดลดลง

วิธีทำกินเอง ให้เลือกต้นว่านหางจระเข้ปลูกมาแล้วประมาณ 10-12 เดือนขึ้นไป ตัดกาบใบมาล้างน้ำสะอาด ปอกเปลือก ล้างยางสีเหลืองให้หมด กินเนื้อวุ้นสด ปริมาณ 15 กรัม กินทุกวันเวลาเช้า ต่อเนื่องนานสัก 1 เดือนขึ้นไป จะเห็นผล

ว่านหางจระเข้เป็นยาใกล้ตัว ปลูกง่ายขึ้นง่าย ในแง่ความเป็นพิษยังไม่มีรายงานการใช้วุ้นสด แต่รายงานการกินสารสกัดจากวุ้นแล้วมาทำเป็นยาเม็ด ยาแคปซูล และลำเป็นชาชง พบว่ามีอาการข้างเคียง คือท้องผูก และทำให้ตับอักเสบได้ แต่เมื่อหยุดยาตับก็จะกลับคืนมาปกติ

แม้ว่าเบาหวานจะเป็นโรคเรื้อรัง แต่ก็มีทางเลือกด้วยการใช้สมุนไพรที่ช่วยดูแลสุขภาพแบบการพึ่งตนเองในครัวเรือนได้หลายชนิด ขอให้ใส่ใจและรู้จักเลือกใช้สมุนไพรเหล่านี้