เมื่อตับป่วย ภาวะตับขาดน้ำหล่อเลี้ยงอาจเริ่มจากอารมณ์ขี้โมโหโกรธา ?

เผยแพร่ครั้งแรกใน คอลัมน์ ธรรมชาติบำบัด นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ วันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2556 ปีที่ 33 ฉบับที่ 1705

เมื่อตับป่วย เทพเซอุสทรงพระประชวร

ภาวะตับขาดน้ำหล่อเลี้ยงอาจเริ่มจากอารมณ์ขี้โมโหโกรธา

ในภาวะนั้นตับซึ่งเป็นธาตุไม้ แทนที่จะได้รับน้ำอันชุ่มฉ่ำที่หล่อเลี้ยงให้เติบโต ไม้ต้นของตนเองนั้นกลับตกอยู่ในภาวะไฟไหม้ป่า ถูกเผาไหม้อย่างรุนแรงจนเกิดสภาพผิวหน้าแดง ใจร้อน โกรธง่าย ขาดอารมณ์ขัน น้ำเสียงกระด้าง อารมณ์หุนหันพลันแล่น

ความแห้งเกร็งจะปรากฏให้เห็นตามกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ

นั่นคือ คนที่กำลังโกรธจะใบหน้าบึ้งตึง เส้นเอ็นยึดเกร็งเพราะเตรียมตัวต่อสู้หรืออาละวาด กระดูกและข้อต่อก็แข็งกระด้างไปด้วย

ถ้าเจ้าตัวปล่อยให้ไฟเผาตับต่อไปนานเข้า ก็จะเกิดสภาพไข้รุม เหมือนไม้ติดไฟที่ถูกซุกไว้ในกองขี้เถ้า ความร้อนนั้นจะแผดเผาเนื้อไม้ไปเรื่อยๆ เป็นไฟเย็น สุดท้ายก็จะปรากฏอาการภายนอกคือโรคข้อต่อเสื่อม ข้อต่อแข็ง (sclerosis process) เส้นเลือดแข็งตัว ความดันเลือดสูง แป้งจากตับถูกสลายลงเป็นน้ำตาลเลือด นานเข้าก็เกิดโรคเบาหวาน

ภาวะน้ำตาลสูงของเบาหวานร่างกายก็จะเปลี่ยนน้ำตาลเป็นสารอัลดีไฮด์ ซึ่งก็คือฟอร์มาลินนั่นเอง น้ำตาลก็กลายสภาพเป็นน้ำยาดองศพ ดองเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกาย ทำให้หลอดเลือดเล็กๆ ในส่วนต่างๆ แข็งตัวและอุดตัน เกิดภาวะเบาหวานขึ้นตา จอตาเสื่อม ตาบอด

ความแข็งเกร็งปรากฏที่เลนส์ตาก็ทำให้เป็นต้อกระจก และต้อหิน

ในโลกปัจจุบันนี้เราจะพบโรคที่เกิดความแข็งตัวแล้วร่างกายเสื่อมสภาพอีกมากมาย เช่น โรคเข่าเสื่อม (Osteoarthritis) โรคข้อต่อแข็งตัว (Ankylosing spondylosis) โรคหนังแข็ง (Scleroderma)

ภาวะไม้แล้งน้ำของตับยังทำให้เยื่อเมือกต่างๆ ขาดน้ำหล่อเลี้ยง จึงปรับสภาพตัวเองไม่ได้ตามสิ่งแวดล้อม เกิดเป็นโรคถุงน้ำ (cyst) ตามอวัยวะต่างๆ

เช่น ซิสต์ในตับ ซิสต์เต้านม ซิสต์ในไต น้ำยังซึมซ่านออกนอกลู่นอกทางทำให้เกิดโรคโพรงจมูกอักเสบ (sinusitis) เป็นต้น

ความเหี่ยวแห้งไร้ความชุ่มชื้นนี้มีผลไปถึงดวงตาด้วย การแพทย์แผนจีนก็บอกไว้ว่าเส้นโคจรของตับนั้นเปิดออกที่ดวงตา และเราก็รู้ดีว่าถ้าเมื่อไหร่ตับอักเสบ ก็จะมีภาวะตัวเหลืองตาเหลืองได้

มนุษยปรัชญากล่าวว่าการใช้ดวงตามากเกินไปมีผลทำลายพลังชีวิต ใครที่เล่นคอมพิวเตอร์มากย่อมรู้ดีว่านานๆ เข้าดวงตาจะแห้ง ตาอ่อนล้า ตามมาด้วยอาการปวดเมื่อยไหล่ ล้าสันหลัง แล้วอาจกลายเป็นภาวะอ่อนเพลียเรื้อรังได้

ยิ่งถ้าใครนอนดึกๆ ไม่ยอมนอนหลับพักผ่อน แน่นอนว่าย่อมบั่นทอนพลังชีวิต การนอนไม่หลับก็คือภาวะที่ใช้ตามากเกินไป ภาวะอ่อนล้าที่ตามมาก็เนื่องมาจากตับสูญเสียพลังชีวิตนั่นเอง

มีเคล็ดลับประการหนึ่งว่า ใครตาแห้งจงร้องไห้จะคลายโรค

ภาวะไฟสุมตับนอกจากเกิดจากอารมณ์แล้ว ยังอาจเกิดจากปัจจัยอื่น เช่น ไวรัสตับอักเสบ ก็เป็นตัวทำให้ธาตุน้ำในตับลดลงไปเรื่อยๆ สุดท้ายตับก็เหี่ยวแห้ง กลายเป็นโรคตับแข็ง

ในภาวะนั้นตับจะแข็งกระด้าง หยุดนิ่ง และหยุดเคลื่อนไหวสารอาหารทุกสรรพสิ่ง

พูดง่ายๆ ว่า เทพเซอุสทรงพระประชวร แล้วโลกสวรรค์ทั้งเบื้องฟ้าเบื้องดินจะเป็นฉันใด คิดดูเอาเองก็แล้วกัน

ตับแข็งยังเกิดจากการหว่านล้อมปรนเปรอเทพเซอุสด้วยอาหารการกินและสุราเมรัยที่ไม่จำกัดจำนวนด้วย

ไม่ต้องบรรยายถึงพิษของสุราแล้วละว่ามันจะทำให้เทพผู้คุ้มครองสวรรค์เสื่อมเสียสัมปชัญญะไปเพียงใด แต่การปรนเปรอเซอุสด้วยแป้งและน้ำตาลนั้นก็เป็นพิษภัยกับตับอย่างมหันต์

เรามาทำความเข้าใจเรื่องนี้สักหน่อย จากแง่มุมของการแพทย์มนุษยปรัชญา ความรู้มีว่าตับมีอิทธิพลสูงต่อระบบเผาผลาญของร่างกาย

ตับรับสารอาหารต่างๆ นอกจากโปรตีน ไขมัน ซึ่งพอลำไส้ย่อยสลายแล้ว ตับนำมาปั้นใหม่ ให้เป็นเนื้อตัวของคนเราแล้ว

สารอาหารสำคัญอีกตัวที่ใช้เร็ว หมุนเร็วก็คือ คาร์โบไฮเดรต การเผาไหม้ของแป้งและน้ำตาลนั้นตับมีการทำหน้าที่อันดีเลิศ โดยตับจะเก็บน้ำตาลเอาไว้ใช้เองเพียงส่วนน้อย แต่ตับจะเก็บเอาไว้เพื่อส่งถ่ายน้ำตาลไปให้กลับอวัยวะอื่นๆ ทั่วร่างกายต่างหากเล่า

กล่าวคือ พอเรากินแป้งหรือของหวานเข้าไป ตับอ่อนหลั่งอินซูลิน แล้วน้ำตาลก็จะถูกส่งไปเก็บไว้ที่ตับโดยตับเปลี่ยนน้ำตาลเป็นแป้งกลัยโคเจน คอยดูจังหวะของอวัยวะอื่นทั่วร่างกาย

กล่าวคือ ถ้าอวัยวะมีน้ำตาลมากตับก็จะดึงน้ำตาลออก ถ้าอวัยวะขาดน้ำตาลตับก็จะให้

ในท่ามกลางการรับและการให้น้ำตาลแก่อวัยวะอื่นๆ นั้น ตับยังทำงานเป็นจังหวะจะโคนตามจังหวะของดวงอาทิตย์ด้วย

กล่าวคือ ช่วงเวลาตี 2-ตี 3 นั้นเป็นเวลาของการสะสมน้ำตาลให้เป็นกลัยโคเจน หลังเวลานั้นไปแล้วตับก็จะเริ่มจับจ่ายน้ำตาลให้อวัยวะอื่น

ไล่เรียงไปจนถึงช่วงบ่ายและเย็น เพื่อให้ในการทำหน้าที่ยามกลางวัน ทั้งพลังกล้ามเนื้อในการทำงาน ทั้งพลังความคิดในการแก้ปัญหา

ตรงนี้เองมนุษยปรัชญาเน้นให้เห็นความสำคัญว่า สมองของเรามีเจตจำนง (will) แต่จะผลักดันเจตจำนงนั้นให้เป็นจริงได้ ต้องอาศัยตับ คือผู้ควบคุมด้านเผาผลาญและเคลื่อนไหว (metabolic-limb) จึงจะเกิดผลได้อย่างแท้จริง

โดยตับส่งน้ำตาลให้สมอง แล้วสมองสั่งการให้เกิดการเคลื่อนไหวแขนขาอีกทีหนึ่ง

จึงถือว่าเป็นอันตรายอย่างสูง ถ้าเราจะหลอกสมองด้วยการกินน้ำตาลเทียม เพราะเท่ากับเราเสพรับเอาจักรวาลภายนอกอันจอมปลอมเข้าไปหลอกลวงให้ตับ ซึ่งเป็นผู้ปั้นจักรวาลภายในตัวเรา

เมื่อเขาได้รับของปลอมก็ย่อมปั้นจักรวาลน้อยที่จอมปลอม คือเซลล์ในตัวของเราเองให้เป็นภาพมายาแห่งความหลอกลวงแน่

เมื่อพูดถึงการหลอกลวงจอมปลอมแล้ว ยังมีวงจรอาหารอีกวงจรหนึ่งที่โกหกหลวงลวงเทพเจ้าเซอุสของเราอย่างร้ายแรง คือวงจรหมุนเวียนไขมันในโลกสมัยใหม่ทุกวันนี้

กล่าวคือ : ความคิดเก่าที่เชื่อว่ากินเนื้อสัตว์ ไขมันนั้นไม่ดี กินแป้งข้าวผลไม้ซิดีกว่า ทำให้เกิดการกินคาร์โบไฮเดรตล้นเกิน

เรารู้แล้วว่าน้ำตาลส่วนเกินถูกส่งเข้าตับแล้วถูกเปลี่ยนเป็นกลัยโคเจน ซึ่งตับก็มีไว้สำรองเพื่อคนอื่นรอให้อวัยวะอื่นใช้พลังงานแล้ว จะได้ส่งแป้งไปให้

แต่วงจรชีวิตของคนเราไม่ค่อยออกกำลังกาย ผลก็คือ แป้งรอเก้ออยู่ในตับ ตับจึงเริ่มสำรองในอีกรูปหนึ่งคือเปลี่ยนแป้งเป็นไขมันไตรกลีเซอไรด์ แล้วเปลี่ยนต่อไปอีกเป็นคอเลสเตอรอล

ไขมันสองชนิดนี้ตับผลักดันออกไปสู่กระแสเลือดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเราตรวจพบได้เป็นภาวะไขมันเลือดสูง แทนที่จะได้สำนึกว่าตับทำงานหนักแล้วนะ ต้องออกกำลังกายเพื่อลดไขมัน เหมือนอย่างที่บรรพบุรุษนักรบสปาตาร์ซ้อมรบและออกศึก

คนเรากลับดำรงชีวิตเสพสุขเหมือนขุนน้ำขุนนางในกรุงโรมัน เฝ้ากินแต่ผลไม้และเหล้าองุ่นอยู่ต่อไป

ดังภาพวาดสีน้ำมันแสดงการเสพกินของยุโรปยุคกลาง

แต่ชีวิตสมัยใหม่มีตัวช่วย คือบริษัทยาผลิตยาลดไขมันแล้วดำเนินนโยบายการตลาด ให้ซื้อง่ายขายคล่องเหมือนหมากฝรั่ง

ยาลดไขมันจึงเข้าไปหลอกลวงตับ ให้เพิ่มปุ่มรับไขมันบนเซลล์ตับเพื่อกวาดจับไขมันซึ่งเป็นสิ่งล้นเกินที่ตับเพิ่งจะผลักดันออกไปเพราะการล้นเกินจากแป้งกลัยโคเจน ให้ตับจำเป็นต้องรับไขมันกลับเข้าสู่ตัวเองซะใหม่

ผลก็คือเกิดภาวะไขมันพอกตับ อันเป็นจักรวาลเล็กจอมปลอมซึ่งตับถูกมอมเมาด้วยการโกหกหลอกลวงของยาลดไขมันจำเป็นต้องกลืนกินพิษของตัวเองกลับเข้าตัวอีกครั้งหนึ่ง

นี่คือภาวะที่เทพเจ้าเซอุสถูกวางยานั่นเอง

การกินหวานแผนจีนถือว่าจะล่อจิตล่อใจคนเราให้ตกเข้าสู่ความซึมเศร้า

ดังที่บอกแล้วว่าตี 1-3 นั้นเป็นช่วงเวลาสำหรับตับ โดยเวลาก่อนหน้านั้นคือ 5 ทุ่มถึงตี 1 เป็นเวลาของถุงน้ำดี

ถ้าใครไม่นอนในเวลาดังกล่าว แต่ไปใช้วิธีนอนดึกตื่นสาย ก็จะมีปัญหาเรื่องการเผาไหม้สารอาหารที่มาจากถุงน้ำดีและตับ ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานไม่ดี ตื่นขึ้นมาไม่สดชื่น เหนื่อยล้าอ่อนเพลีย แม้ว่าจำนวนชั่วโมงการนอนจะปกติ อารมณ์หงุดหงิดแปรปรวน ผิวพรรณหม่นหมอง ผมร่วง

คนจำนวนไม่น้อยเลยที่ล่อหลอกตัวเองด้วยการกินกาแฟใส่นม หรือดื่มทรีอินเจ้าสิ่งนั้นทั้งหวานทั้งมัน สมองจะได้พลังงานที่ส่งเข้าไปแล้วเผาไหม้ดับวูบลงทันที

สุดท้ายเกิดโรคเสื่อมทั่วร่างกาย ก็คืออวัยวะต่างๆ แข็งเกร็ง (sclerosis process) อีกนั่นแหละ

โฮมีโอพาธีย์มีสารบำบัดที่บำรุงพลังงานตับอยู่ตัวหนึ่งคือ เคลิโดเนียม (Chelidonium) ใช้ดีอย่างยิ่งกับตับอักเสบ ดีซ่าน

ส่วนอีกตัวหนึ่งคือโลหะดีบุก (Stannum) สารนี้ใช้ในระดับจิตใจที่กระวนกระวาย เศร้าโศกเสียใจ และท้อแท้หมดกำลังใจ ไม่อยากพบหน้าผู้คน

ทางกระเพาะนั้นเพียงได้กลิ่นอาหารก็อยากอาเจียน มีภาวะขมคอ

ปอดเสื่อมจากการป่วยเรื้อรัง เสมหะมากเพียงออกเสียงพูดก็จะไอ แขนขาเกร็งแต่หมดเรี่ยวแรง มีไข้ตอนเย็น เหงื่อแตกกลางคืนโดยเฉพาะกลางดึกถึงรุ่งสว่าง

เห็นมั้ยล่ะครับว่า อาการต่างๆ ที่บรรยายมาเหมือนกับภาวะเทพเจ้าเซอุสทรงพระประชวร หรือตับป่วยหรือไม่?

นี่แหละครับการแพทย์มนุษยปรัชญา จุดจวบของการแพทย์ทางเลือก