ลุยโลด…มะริด : หมู่บ้านมูด่อง หมู่บ้านที่ใกล้ชายแดนไทยที่สุด

ลุยโลด…มะริด (2)

มิงกะลาบา มะริด

มูด่องคือหมู่บ้านใกล้ชายแดนไทยที่สุด 1 ก.ม. พื้นที่แถบนี้เป็นเทือกเขาตะนาวศรีไม่สูงมากนัก จึงกลายเป็นช่องผ่านทางเข้า-ออกชายแดนโดยปริยาย

หมู่บ้านมูด่องมีรถตู้จอดเรียงราย เลือกได้เลย จะนั่งคันไหน เวลาใด

รถตู้จะออกเป็นเวลาตั้งแต่ด่านเปิดจนถึง 12.00 น.

ราคา 350 บาทต่อหัว เท่ากับ 30,000 จ๊าตพม่า

สองเรามาทันรถรอบเที่ยง จ่ายเงินไทย ทัวร์ฉุกละหุก-ไม่มีเงินพม่าสักจ๊าต

เที่ยงเป๊ะ-ล้อหมุน

แดงขอนั่งหน้ารถคู่โชเฟอร์ หนุ่มเชิ้ตขาว ท่อนล่างสวม “ลองชี” เคี้ยวหมากหยับๆ พยักหน้า

ถือซะว่าเป็นทัวร์ชะโงกเที่ยวหมู่บ้านมูด่อง-รถวิ่งโขยกเขยกไปตามทางธรรมชาติภายในหมู่บ้าน

หยุดรับผู้โดยสารตามบ้านทุกระดับประทับใจเชียวละ

คนเต็มรถ จึงบ่ายหน้าออกจากหมู่บ้านสู่ถนนใหญ่ไปตะนาวศรี ระยะทาง 100 ก.ม. เส้นทางคดเคี้ยวไปตามไหล่เขาอยู่ระหว่างก่อสร้างถนน ฝุ่นฟุ้ง บางช่วงเละเทะฝนตก

ป่าทึบริมทางกระเจิง กลายเป็นสวนปาล์ม-สวนหมากเต็มภูเขา ที่ยังไม่บุกเบิกกล้วยป่าเต็มภูเขา ทัศนียภาพสวนปาล์มมหึมาบนภูเขาสองข้างทาง ทำเอาสวนปาล์มของแดงเป็นสวนเด็กๆ ไปเลย

สวนปาล์มตะนาวศรีไม่ได้เป็นของเอกชน เป็นของบริษัทใหญ่ๆ ได้สัมปทานพื้นที่บนเขาหลายลูกเรียงราย

ชาวบ้านก็เป็นลูกจ้าง-รับจ้างไป

รถจอดนาน-ให้ผู้โดยสารลงและขึ้น จึงรู้ว่าถึงตะนาวศรีแล้ว

มองเห็นแม่น้ำตะนาวศรีสวยงาม น้ำเจิ่งเต็มฝั่ง นั่นไง-สะพานข้ามแม่น้ำสุดคลาสสิค

ไฮไลต์เด็ด-นักท่องเที่ยว…ห้ามพลาด

สะพานสร้างด้วยไม้ล้วนๆ เก่าแก่ข้ามแม่น้ำมาตั้งสองพันปี อังกฤษมาเสริมโครงเหล็กสมัยอาณานิคม และเพิ่งมีการซ่อมแซมโครงเหล็กใหม่ให้แข็งแรงเมื่อสิบกว่าปีนี่เอง ตัวสะพานยังคงสภาพเป็นไม้แบบดั้งเดิม

ระบบจราจรข้ามสะพาน “วันเวย์” ไม่มีรถซิ่ง-รถสวน จอดรอไฟเขียว-ไฟแดงเท่านั้น

ช้าอยู่ไย-ระหว่างรอไฟเขียว สองเราโดดลงจากรถ วิ่งไปที่สะพาน ผลัดกันถ่ายรูปคู่เคียงสะพานไม้โบราณไว้ดูต่างหน้า

กล้องมือถือแชะเดียวได้ตั้ง 20 รูป-โชเฟอร์บีบแตรเรียกขึ้นรถ แปร๋น…แปร๋น…แปร๋น

จากตะนาวศรีอีก 80 ก.ม.-รถตู้ก็พาสองเรามาถึงจุดหมายปลายทางราวสี่โมงเย็น

ฉันกระย่องกระแย่งลงจากรถประสาสูงวัย 70 มิใช่ 17

ยืดเข่าเหยียดขา-เงยหน้าเจอป้าย MYINT MO HOTEL-กรี๊ด เรามาถึงมะริดแล้ว

“มิงกะลาบา-มะริด” แปลว่า มะริด สวัสดีค่ะ

แผนที่นำทาง สองขาพาเดิน

คืนแรกในมะริด ณ โรงแรมเมียน โม

แดง-กวาดแผนที่แผ่นพับ โบรชัวร์ สติ๊กเกอร์ท่องเที่ยวบนเคาน์เตอร์มาเพียบ

เช้ารุ่งขึ้น-เช็กเอาต์ ย้ายโรงแรม ไปเช็กอินเกสต์เฮาส์กลางเมืองเลย

คือเมียน โม อยู่ชานเมือง ไม่สอดคล้องกับทริปสองขาพาเดินของเรา

ผู้จัดการ Sun Guest House พูดภาษาอังกฤษได้ ชี้ทางสองเราไปแลกเงินจ๊าตเป็นอันดับแรก

พกกันคนละหลายหมื่นจ๊าต รู้สึกร่ำรวยและมั่นใจ

มีแผนที่แสดงจุดท่องเที่ยว “ห้ามพลาด” ในมะริด ระบุทั้งภาษาอังกฤษ-ภาษาเมียนมา ชี้นำ ทัวร์สองขาพาเดินของเราก็เริงร่า-ร่าเริง

อันดับแรก-ข้ามถนนไปสวัสดี “บิดาแห่งประเทศพม่าในยุคปัจจุบัน”

นายพลออง ซาน-วีรบุรุษเพื่ออิสรภาพของประเทศพม่า อนุสาวรีย์สีทองอร่ามตรงสี่แยกกลางเมือง เยื้องกับที่พักของเรานี่เอง ถนนหนทางขวักไขว่ มอเตอร์ไซค์พาหนะยอดนิยมวิ่งพล่าน

ต่อไป-องค์พระเจดีย์เทียน ตอ จีน (Thein Daw Gyi Pagoda) เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองมะริด ตั้งอยู่บนเนินเขาใจกลางเมือง ทดลองเดินวนไปวนมา-ไม่ถึงสักที

เรียกมอเตอร์ไซค์-รู้แล้วรู้รอด

โชเฟอร์พามาส่งหน้าศาลเจ้าขนาดใหญ่-ม่ายช่าย…เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ของสูงต้องอยู่บนยอดเขาเท่านั้น

ในที่สุด ต้องเดินขึ้นเขาไปกันเอง

อลังการตั้งแต่ประตูทางเข้า องค์เจดีย์สีทองจำลองเจดีย์ชเวดากอง ทอประกายวาววับกลางแดดจ้าอยู่เบื้องหน้าเรานี้ สร้างเมื่อ พ.ศ.2274 องค์เจดีย์ส่วนล่างประดับทองคำเปลว ยอดเจดีย์หุ้มทองคำหนัก 32 กิโลกรัม

ยอดฉัตรประดับอัญมณีเลอค่ากว่า 3 พันชิ้น

พระอุโบสถอายุมากกว่า 200 ปี ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางปาลิไลย เชื่อกันว่าหากได้สัมผัสพระบาท อาการเจ็บไข้ได้ป่วยจะหาย เดินรอบองค์เจดีย์มองเห็นวิวมะริดรอบทิศ 360 องศา

แดดเปรี้ยง ถ่ายรูปเอาฤกษ์เอาชัยเห็นชัด เหงื่อไหลย้อยหน้าผาก

เดินวนรอบองค์เจดีย์แล้ว จะขึ้นไปกราบพระพุทธรูปในอุโบสถสักหน่อย พลันมัคนายก สวมลองชี ชี้นิ้วมาที่รองเท้า ต้องถอดรองเท้าก่อนขึ้นบันได

บนระเบียงรอบอุโบสถ จุดชมวิวรอบทิศกว้างกระจ่างตา ไกลสุดขอบฟ้าเห็นแนวทะเลอันดามันเป็นเส้นตรง ใกล้เข้ามาอีกนิด เกาะเขียวชอุ่มสองเกาะเคียงกันอยู่กลางอ่าวตะนาวศรี เจดีย์สีทองแวววับอยู่บนยอดเขาทั้งสองเกาะ เกาะใหญ่เจดีย์ใหญ่ เกาะเล็กเจดีย์เล็ก

แดงกางแผนที่ คือเกาะฝาแฝดปาถ่อง-ปาเตต (Pahtaw-Pahtet Island) ค่ะ

“ไปกันโลด” สองเรากราบลาองค์เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองมะริด เดินออกจากวัดสวนทางกับสาวมะริดสองสามสาวหิ้วรองเท้า

เดินเท้าเปล่าตั้งแต่ประตูเข้าวัด

เมืองมะริดทอดตัวยาว เชิงเขารอบปากน้ำตะนาวศรี เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายตั้งอยู่บนยอดเขา เดินลงเขาตัวปลิว เห็นพ้องต้องกันว่าเราควรจะเดินไปท่าเรือ ได้ชมเมืองไปด้วย

บริเวณท่าเรือมีเรือจอดอยู่หลายลำ จอแจเต็มไปด้วยผู้คน สัมภาระพะรุงพะรังเดินสวนกันขวักไขว่

เรือโดยสารเที่ยวข้ามไปเกาะแฝดบ่ายหัวเรืออกไปซะแล้ว-ไม่ทันค่ะ

เช่าเรือข้ามไปเองดีกว่า ยืนเก้ๆ กังๆ หันรีหันขวางเจอเหยื่อค่ะ

หนุ่มพม่าพูดไทยสำเนียงมะริดรู้เรื่อง เขาเคยไปทำงานที่เมืองไทย ช่วยเจรจาเช่าเรือ-ชี้มือไปที่เกาะใหญ่ปาเตต (Pahtet) ในราคาเหมาะสม แถมเป็นช่างภาพถ่ายรูปเราตอนลงเรือให้ด้วย

เรือแล่นฝ่าแดดฝ่าลมน้ำกระจาย เทียบท่าเรือเกาะปาเตตหรูหราโอ่อ่า เป็นสะพานคอนกรีตทอดยาวจนถึงฝั่ง ราวสะพานสีแดง

ขึ้นจากเรือก็มองเห็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ อาตูละ ชเวทัลเยือง (Atula Shwethalyaung) ยาว 144 ศอก (66 เมตร) สร้างเมื่อปี 1955 (พ.ศ.2498) อยู่หน้าเกาะ

ภายในองค์พระพุทธไสยาสน์ ประดับพระพุทธรูปถึง 2 หมื่นองค์ แบ่งเป็นห้องๆ แสดงพระพุทธประวัติ และคำสอนพระพุทธเจ้า

ถอดรองเท้า กราบสามครั้ง ก่อนจะเดินจากพระบาทเพื่อไปถ่ายรูปพระพักตร์-ไกลมาก

นอกอารามแดดร้อนแรง ในอารามแบ่งส่วนเป็นร้านขายอาหาร-มีส้มตำด้วย

ร้านเครื่องดื่มต้องส่งภาษามือให้ตักน้ำแข็งใส่ถ้วย เพื่อให้น้ำตะไคร้กระป๋องรสซ่า เย็นชื่นใจ

เหงื่อแห้งเดินต่อ

เราจะขึ้นเขาไปสักการะเจดีย์สีทองสุกปลั่ง ที่มองเห็นจากระเบียงวัดเทียน ตอ จี

บันไดทางขึ้นชัน ข้างทางรกหญ้า รูปปั้นประดับข้างทางชำรุดแขนขาหัก หลอนนิดๆ

คงไม่ค่อยมีใครสัญจรขึ้น-ลงเส้นทางนี้

เดินขึ้นเขานอกเห็นทิวทัศน์มะริดที่อยู่คนละฝั่งแล้ว ถือเป็นการทดสอบสังขารด้วย

ไกด์แดงเดินนำ ฉันตามช้าๆ ที่หมายแรก องค์พระพุทธรูปประดิษฐานในศาลา รอบศาลาหญ้ารกสูง ตรงไหล่เขามีเจดีย์สีทองขนาดเล็กงดงาม มีรูปปั้นเทวดา ถัดออกไปเป็นรูปปั้นพระยืน ชี้นิ้วมือขวาไปเมืองมะริดที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม

ฉันหยุด พักสังขารแช่เหงื่อชุ่มตัวที่รูปปั้นพระยืนชี้เมืองมะริด

แดงขึ้นบันไดไปจนถึงองค์เจดีย์สีทองบนยอดเขา มีรอยพระพุทธบาทด้วยค่ะ

เจดีย์บนยอดเขา คือจุดชมวิวอันแสนเลิศ มองเห็นปากน้ำตะนาวศรีเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา

พิชิตยอดเขาสำเร็จ ลงเขาlbคะ ลงเร็วกว่าขึ้น

สองเรานั่งเรือกลับถึงฝั่งมะริดตอนเที่ยง ค่าโดยสารเรือเท่ากับค่ามอเตอร์ไซค์ หัวละ 60 บาท (แพงนะเนี่ย)

ระหว่างเดินกลับโรงแรม แวะกินข้าวแกงริมถนน เลือกร้านที่คนเยอะ-คงจะอร่อย

ชี้ๆๆๆ นิ้วไปที่ถาดมะระบ้านผัดกับดอกกะหล่ำ อยากกินผักค่ะ

มะริดคือถิ่นอาหารทะเล ผักหายาก ต้องสั่งจากย่างกุ้ง จึงมีราคาแพง ผัดผักในจานฉันคงเป็นผักส่งมาจากเมืองไทย

รสชาติไม่มีความเห็น หิวนำ ฝืดคอ บริการน้ำชาร้อนๆ ฟรีทุกโต๊ะ

ต้องการความเย็น ส่งภาษามือขอน้ำแข็งเปล่าใส่แก้ว รินชาร้อนลงไป น้ำแข็งใส่น้ำชาเย็นและหอม

ดับร้อนผ่อนกระหายสำหรับคนไทย

จบทัวร์เดินเที่ยวครึ่งวัน-เมื่อเราเดินกลับโรงแรมที่พักถูกต้อง-ไม่หลง

อาบน้ำ ซักเสื้อผ้า พักแข้งขา รอเวลาบ่ายใกลเย็น-ลุยต่อค่ะ