“เกษตรกร” ชื่อ “ศุภรัตน์ นาคบุญนำ” ประกาศชัด “เลิกสมัคร ส.ส.” แต่ไม่ทิ้งงานการเมืองถ้า…

ห่างหายจากจอทีวีมาสักพักแล้ว สำหรับ “ศุภรัตน์ นาคบุญนำ” หรืออิ๋ว เพราะหมดสัญญากับช่องเดิมที่เธอนั่งอ่านข่าวอยู่

ตอนนี้ผันตัวเองมาเป็นเกษตรกรแนว “อินทรีย์” โดยใช้เวลาปลูกผักปลอดสารพิษ-เลี้ยงสัตว์อยู่ในเนื้อที่กว่า 50 ไร่ ย่านถนนร่มเกล้า กทม. ควบคู่กับการเรียนหลักสูตรนวัตกรรมการบริหารในโลกยุคใหม่สำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ 1 ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ซึ่งมีเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง “ชวน หลีกภัย” อดีตนายกรัฐมนตรี

ศุภรัตน์ประกาศว่า ยังยึดอาชีพสื่อมวลชนอยู่ เพียงแต่รอจังหวะดีๆ ในการร่วมงานกับช่องใดช่องหนึ่ง ช่วงนี้นอกจากจะมาพัฒนา “บ้านไร่ศุภรัตน์” อย่างเต็มตัวแล้ว ก็ยังเป็นผู้ประกาศข่าวอิสระ และรับงานพิธีกรทั่วไป

ที่สำคัญอดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียุคพรรคเพื่อไทยผู้นี้ ลั่นวาจาว่าไม่ได้ปิดตายในส่วนของงานการบ้านการเมือง เพียงจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. เท่านั้น

แต่ถ้าพรรคไหนค่ายไหนมาชวนไปทำงานการเมืองก็ต้องคุยกันก่อนว่าจะช่วยประเทศชาติบ้านเมืองได้มากน้อยแค่ไหน

วันที่สนทนากันแบบยาวๆ นั้น เธอชวนไปดูและไปชิมผลผลิตที่บ้านไร่ศุกรัตน์ ซึ่งมีทั้งมะม่วง กล้วยน้ำว้า ลูกหม่อน ฯลฯ แถมยังให้หิ้วกลับบ้าน และยังมีสัตว์เลี้ยงน่ารักๆ ให้ชมอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นแมวเมนคูน (แมวยักษ์), นกหงส์หยกพันธุ์อังกฤษ-พันธุ์ฮอลแลนด์, นกค็อกคาเทล, นกฟินซ์ (เจ็ดสี), ปลาหมอสี กระต่ายล็อบ (หูยาว) และสุนัขปอมเมอเรเนียน

เห็นแล้วรู้สึกได้ว่าช่างเป็นชีวิตที่น่าอภิรมย์จริงๆ มีความสุขอยู่ท่ามกลางสายลมและแสงแดด

พอถามเรื่องการเมืองที่คาดว่าจะมีการเลือกตั้งในไม่ช้านี้ ศุภรัตน์ในวัย 50 ปี (หน้าเด็กมาก) ยืนยันหนักแน่นว่า ถ้าเป็นการเมืองในมิติที่ว่าจะต้องลงสนามสมัคร ส.ส. ไม่เอาแล้ว เพราะไม่อยากแข่งกับใคร ซึ่งที่ผ่านมาก็เหนื่อยพอแล้ว

พร้อมกันนั้นยังย้อนอดีตที่ไม่เคยเปิดเผยต่อที่สาธารณะให้ฟังด้วยว่า

“ความที่เคยมีสังกัดตั้งแต่ลงเลือกตั้งในนามพรรคพลังประชาชน ปี 2550 ผ่านมา 11 ปีแล้ว ช่วงที่ คสช. เข้ามาใหม่ๆ ก็ถูกจับตามองเหมือนกัน ขนาดอ่านข่าวที่สถานี (ไบรท์ทีวี) เขายังไปตามหาเลย ตกอกตกใจทั้งสถานี บางทีนัดกินกาแฟ เลยบอกเอาเบอร์เอาเฟซเอาไลน์ไปได้เลย ดูเลยพฤติกรรมเป็นแบบไหน ไลฟ์สไตล์เราเป็นแบบไหน เราก็อยู่สงบๆ และพร้อมให้ความร่วมมือเต็มที่ ข่าวการเมืองก็ไม่อยากอ่านด้วยซ้ำไป”

ว่าไปแล้วศุภรัตน์เข้าไปสู่แวดวงการเมืองในช่วงระยะเวลาไม่นานนัก แต่ก็ทำให้เธอได้ประสบการณ์ตรงและเข้าใจการเมืองไทยชัดเจนขึ้น อย่างที่เจ้าตัวถ่ายทอดให้ฟังว่า

“พอเข้าไปแล้วก็มีปัญหาอุปสรรคหลายๆ อย่างเพราะว่าสถานการณ์การเมืองมีอะไรที่มันซับซ้อนมากกว่าที่คิดเยอะ เราไปแบบใสๆ ไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้แบ่งฝ่ายแบ่งพวกอะไร ทำงานของเราไป แต่พอสถานการณ์มันเปลี่ยนไปเราต้องถอนตัวเองออกมา มองว่าสังคมไทยวัฒนธรรมเรื่องประชาธิปไตยยังไม่เกิดเต็มที่ การแลกเปลี่ยนถกเถียงกันด้วยเหตุผลอาจจะมีการใช้อารมณ์กันมากกว่า พอใช้อารมณ์มากกว่าปุ๊บกลายเป็นว่าพอเรามาอยู่ในจุดที่ต้องไปสังกัดตรงโน้นตรงนี้อาจจะมีทั้งคนชอบ มีทั้งคนชัง”

นอกจากนี้ ยังเล่าด้วยว่า ผลพวงที่เธอเคยอยู่ทำงานกับพรรคเพื่อไทย พอเปลี่ยนรัฐบาลแล้วกลับมาทำงานด้านสื่อก็ยังเจอกับพิษทางการเมือง

“พอมีการเปลี่ยนรัฐบาลเปลี่ยนขั้วก็กลับไปทำสื่องานที่ชอบที่ถนัด โดยไปจัดรายการวิทยุที่เป็นคลื่นของรัฐบาล แต่ถูกการเมืองเล่นงาน เขาห้ามจัด โดยไม่มีเหตุผลอะไร อยู่ๆ ก็บอกพรุ่งนี้ไม่ต้องมาจัดแล้ว จากนั้นไปทำช่องสถานีดาวเทียม ซึ่งเป็นพิธีกร เวลาสัมภาษณ์ก็ไม่เคยที่จะไปโจมตีใคร ไปวิพากษ์วิจารณ์ใครหรือจะไปเชียร์ใคร เราก็ทำหน้าที่ในฐานะสื่อมืออาชีพ”

“ปัจจุบันนี้ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองไหนใดๆ ทั้งสิ้น”

กับคำถามที่ว่า ตอนนี้ยังมีใครมองว่าเป็นแดงอยู่หรือไม่

เธอตอบทันที “จริงๆ แล้วแต่คน คือถ้าเดินตามตลาดทั่วไป คนทั่วไป คุณศุภรัตน์ นาคบุญนำ ก็ยังเป็นผู้ประกาศข่าว อาจจะถามว่าเดี๋ยวนี้ไม่อ่านข่าวแล้วหรือ ภาพจะเป็นผู้ประกาศข่าว พิธีกรมากกว่า ภาพนักการเมืองของเราไม่ชัด เพราะตอนที่อยู่ไม่ได้ไปใช้วาทกรรมทางการเมือง หรือไปตอบโต้อะไร ยุคหนึ่งได้เป็นรองโฆษกรัฐบาลก็แค่ 7 เดือนเท่านั้นเอง แถลงแต่เรื่องงานแล้วก็ประสานงานกับนักข่าว”

“ใครจะสัมภาษณ์คนโน้นคนนี้ก็ประสานให้ติดต่อให้ เราไม่ใช่คนที่ชอบไปแอ๊กอาร์ต มีสัมภาษณ์ต้องไปยืนแอบอยู่ข้างหลังรัฐมนตรี อันนี้ไม่ใช่ศุภรัตน์ เราไม่โผล่หน้าอย่างนั้นเลย แล้วก็ไม่ชอบวิธีแบบนี้ด้วย เหมือนเป็นลูกสมุน เป็นบริวาร”

เธอบอกด้วยว่าในฐานะคนในวงการสื่อที่โดดไปเล่นการเมือง ตอนนี้ก็มีน้องๆ ในวงการสื่อบางคนโทรศัพท์มาพูดคุยปรึกษากรณีที่มีพรรคโน้นพรรคนี้ชวน ซึ่งได้ให้คำแนะนำไปว่า อย่าไปรังเกียจเรื่องการเมืองเลย ถ้ามีความรู้ความสามารถและอยากที่จะเข้าไปทำ แต่ต้องแน่ใจว่าถ้าไปแล้วต้องไปให้สุดทาง ต้องไปต่อให้ได้

ที่สำคัญต้องพร้อม และต้องคิดก่อนว่าการเมืองเป็นเรื่องเสียสละ ไม่ใช่ว่าไปแล้วจะได้มีชื่อเสียง มีลาภยศอะไรต่างๆ ถ้าคิดแบบนั้นอยู่วงนอกแล้วรู้จักนักการเมืองจะดีกว่า

แต่ถ้าจะไปอยู่จุดนั้น ต้องสะอาด เพราะต้องถูกตรวจสอบ ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งเรื่องจริง เรื่องไม่จริง ฉะนั้น พร้อมจะรับสถานการณ์ตรงนี้ไหม

อดีตรองโฆษกรัฐบาลผู้นี้ยังเตือนน้องๆ วงการสื่ออีกว่า หากเข้าไปทำงานการเมือง เมื่อการเมืองเปลี่ยน เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ต้องยอมรับตรงนั้น และต้องดูว่าตัวเองพร้อมที่จะรับได้หรือไม่ และต้องวางฐานไว้ด้วยว่าถ้าไม่อยู่ในส่วนการเมืองแล้วจะทำอะไรต่อ

เธอฉายภาพการเมืองไทยที่ได้สัมผัสมาว่า นักการเมืองยังคงแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ยังพูดกันด้วยเหตุด้วยผลไม่ได้ มีอคติต่อกัน ฉะนั้น อย่าหวังให้คนที่เป็นคนรุ่นใหม่ๆ มาสนใจการเมืองมากขึ้น ซึ่งแม้จะสนใจการเมืองก็จริงอยู่ แต่อาจจะคิดว่าการที่เข้ามาแล้วจะเป็นการเปลืองตัวหรือเปล่า

“ดิฉันขอชื่นชมสำหรับคนรุ่นใหม่ หรือนักการเมืองรุ่นใหม่ที่เข้ามา เขาควรจะตัดสินและเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ จะได้กำหนดอนาคตของเขาเอง คนรุ่นเก่าๆ ควรเป็นแค่ที่ปรึกษาก็พอแล้ว ส่วนอนาคตของประเทศชาติให้คนที่รุ่นใหม่ๆ หมายถึงมีหัวคิดใหม่ๆ ถ้าต้องการจะปฏิรูปอย่างจริงจัง ไม่ใช่ปฏิรูปพูดไปแบบรูปหน้าปะจมูกก็ยังไม่เห็นอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง”

“จากที่อยู่ในส่วนของการเมืองมาก็มีทั้งมุมบวกและมุมลบ จริงๆ นักการเมืองก็เหมือนทุกอาชีพ คือมีทั้งคนดีคนไม่ดี ซึ่งอาจจะมีคนที่ทำเพื่อผลประโยชน์อะไรแบบนี้เยอะจริงๆ พอเข้าไปสัมผัสแล้ว ทุกคนก็อ้างว่าเพื่อประชาชน นี่ถ้ามาถามว่าจะเล่นการเมืองไหม ถ้าเป็นนักการเมืองก็จะบอกแล้วแต่ประชาชน อยู่ที่ประชาชน”

“ในฐานะที่เราเป็นนักข่าว รู้จักพรรคการเมืองต่างๆ และเคยสัมภาษณ์นายกรัฐมนตรีมาหลายคน ไม่ว่าจะเป็นคุณชวน หลีกภัย หรือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ พรรคประชาธิปัตย์ก็รู้จักหลายคน รู้จักมากกว่าพรรคเพื่อไทยอีก เพียงแต่ว่าไม่มีใครที่ดี 100 เปอร์เซ็นต์ หรือว่าไม่ดีเกิน 100 เปอร์เซ็นต์ คนเรามนุษย์ปุถุชนต้องเลือกที่จะคบคน คนไหนคุยได้ คนไหนคุยไม่ได้ คนนี้เบื้องหน้า-เบื้องหลังเป็นอย่างไร เราก็คุยๆ ไว้ เพราะเราใช้หลักการที่ว่าไม่อยากมีศัตรู ทุกคนเป็นมิตรหมด ถ้าเราให้ใจกับเขา เขาก็ให้ใจกับเรา ต้องอยู่กันด้วยความรักความเมตตา จะไปเกลียดชังกันไปทำไม”

เธอระบุถึงสิ่งที่อยากจะให้จะเกิดขึ้นในบ้านเมืองนี้ว่า การเมืองไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง หรือไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เมื่อมีอำนาจแล้ว ทุกรัฐบาลควรที่จะถูกตรวจสอบได้ ทำไม่ดีก็ถูกตรวจสอบได้ ประชาชนก็มีสิทธิที่จะแสดงออก แต่ต้องอยู่ในกรอบกติกา ไม่เกินเลยเกินไปจนกระทั่งไปหมิ่นประมาท หรือสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น คิดว่าวันนี้ทุกคนต้องทำเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ทุกๆ คน ทุกๆ ฝ่ายต่างมีบทเรียนทั้งนั้น แม้แต่ตัวเองก็ต้องคิดว่าเราเป็นส่วนหนึ่งหรือเปล่า และขอให้เดินหน้าต่อไป และขอให้เล่นกันการเมืองแบบสร้างสรรค์

คงต้องคอยติดตามกันว่าหลังจากนี้ ผู้ประกาศสาวดีกรีปริญญาโทรัฐประศาสนศาสตร์ หลักสูตรการจัดการภาครัฐและเอกชนจากนิด้า จะมีโอกาสได้เข้าสู่แวดวงการเมืองอีกรอบหรือไม่