จดหมาย/ฉบับประจำวันที่ 4-10 พฤษภาคม 2561

จดหมาย

ใบไม้ร่วง

ก่อนเข้าเทศกาลสงกรานต์ วันที่ 11 เมษายน
ตอนเย็นของวันนั้น กระผมได้ทราบข่าวว่า พี่นที (ชื่อเล่นคือ เอ็กซ์) หรือ “นที สรวารี” ได้สิ้นใจอย่างสงบเคียงข้าง “จ๋า” ภรรยาของพี่นที
นับเป็นการสูญเสียเพื่อนและพี่ที่รู้จักของกระผมอีกคน
หลังจากหลายคนรวมถึงจ๋าและต้นน้ำน่าน ลูกชายคนเดียวของพี่นที รอปาฏิหาริย์ที่จะให้พี่นทีดีขึ้น
แต่แล้วการรอคอยมาตลอด 1 ปี ได้จบลงเมื่อ
พี่นทีหลับตาสนิท
ไม่ต้องทุกข์ทรมานอีกแล้ว

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2553
ผมเห็นพี่นทีครั้งแรกจากคลิปวิดีโอในเฟซบุ๊ก ยืนตะโกนตรงแยกราชประสงค์
“ที่นี่มีคนตาย”
เขาน่าจะเป็นคนแรกที่เริ่มพูดวลีนี้ ก่อนที่สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุดจะนำไปจุดแคมเปญปลุกคนเสื้อแดงให้มีความหวัง
จนพี่นทีถูกตำรวจรวบตัว จับแขนขาและหิ้วตัวพี่นทีขึ้นรถผู้ต้องขัง โดยที่พี่นทีตะโกนต่อไปทั้งที่ถูกหิ้วไปอย่างนั้น
ต่อมากระผมได้พบพี่นทีตัวจริงเสียงจริงตอนร่วมทำกิจกรรมกับกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง
ตอนนั้นเองถึงรู้อีกบทบาทหนึ่งของพี่นทีนั้นคือ นักรณรงค์เพื่อชีวิตคนไร้บ้าน
และเป็นงานที่พี่นทีรักและทุ่มเทมากที่สุด

หลายปีต่อมา
ช่วงประมาณปี 2558 ผมได้พบกับพี่นทีอีกครั้งที่คลองหลอดตรงที่ประดิษฐานพระแม่ธรณีบีบมวยผม
โดยกระผมกับช่างภาพรุ่นใหญ่ที่ร่วมงานกันมาหลายปี และเพื่อนอีกคน ไปร่วมทำคลิปเล่าการทำงานของพี่นทีและมูลนิธิอิสรชนของเขา
ตอนนั้นเองที่ผมได้ร่วมทำอาหารให้กับคนไร้บ้านที่ยืนต่อคิวรอรับอาหารและสิ่งของที่พี่นทีรวบรวมมาจากผู้มีอุปการะและใจบุญส่งเข้ามา
การทำอาหารเลี้ยงคนไร้บ้านเป็นงานส่วนหนึ่งของทั้งหมดที่พี่นทีและจ๋าร่วมทำกับอาสาสมัคร
พวกเขาศึกษา เรียนรู้และอยู่ร่วมกับผู้คนที่เลือกกิน นอนและใช้ชีวิตบนฟุตปาธ ในสวนสาธารณะและอีกหลายที่ที่พวกเขาสามารถใช้หลบแดด หลบฝน เอนกายพักผ่อนได้
ตอนที่ผมเจอครั้งล่าสุดถือว่าเป็นช่วงที่ดีที่สุดของครอบครัวสรวารีก็ว่าได้
เพราะมีต้นน้ำน่านเป็นประจักษ์พยานของชีวิตคู่ของพวกเขา
แม้พวกเขาจะเหนื่อยจากการทำอาหาร ทำแผลให้กับคนไร้บ้าน
แต่พวกเขาก็มีความสุขในสิ่งที่ทำ

แต่ภาพของความสุขต้องหยุดลง เมื่อพี่นทีเกิดล้มหมดสติในห้องน้ำเมื่อเมษายนปีที่แล้ว
และเข้ารับการรักษาตัว
ซึ่งตอนที่นำตัวไปโรงพยาบาลก็ทราบข่าวว่าไม่รับพี่นทีเป็นเคสฉุกเฉิน ทั้งที่เข้าเงื่อนไข
จนเรื่องของพี่นทีปรากฏตามสื่อทำให้มีคนยื่นมือช่วยจนเข้ารับการรักษาตัวได้
ทว่าในช่วงการรักษาตัว พี่นทีไม่ได้เป็นเพียงแค่เส้นเลือดในสมองแตก แต่ยังพบเซลล์ผิดปกติ ซึ่งถือว่าหนักหนามากสำหรับภรรยาผู้เป็นที่รักของพี่นที
และทำให้ตลอดเวลา 1 ปีจนถึงตอนนี้ จ๋าต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ดูแลพี่นที และทำหน้าที่ภรรยา จนกระทั่งพี่นทีได้หลับสบายแล้ว

กระผมได้พบพี่นทีอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ ผมยืนอยู่หน้าโลงของพี่นที
นึกถึงช่วงเวลาที่ผมได้มีส่วนร่วมกับพี่นที ซึ่งหลังจากวันที่ไปทำคลิปสารคดีสิ่งที่พี่นทีทำ
ได้จุดประกายให้ผมได้ร่วมกับเพื่อนๆ เดินเท้าไปแจกอาหารให้คนไร้บ้านตั้งแต่คลองหลอด อนุสาวรีย์ทหารอาสา ไปถึงสนามหลวงตอนที่ยังมีผืนหญ้าเขียวขจี แล้วเดินต่อไปจนสิ้นสุดที่เสาชิงช้า
และอีกครั้งที่ผมทำคนเดียว เนื่องในโอกาสวันเกิดปีที่ 31 ผมเอาเสื้อผ้าที่ไม่ใส่แล้วไปแจกให้กับคนไร้บ้าน
พอนึกย้อนกลับไปวันเก่าๆ พี่นทีได้ทำให้กระผมเห็นว่า คนไร้บ้านมีชีวิตให้เห็นตรงหน้า ไม่ว่าเดินตามทางจุดไหน ล้วนมีพวกเขาอยู่
ไม่สามารถละสายตาหรือมองข้ามพวกเขาไปได้
พวกเขามีเหตุผลที่ออกมาใช้ชีวิตบนพื้นดิน บนทางเท้า แทนที่จะได้อยู่บ้านอันแสนอบอุ่น สภาพสังคมอาจผลักให้พวกเขาเลือกใช้ชีวิตเหล่านี้
พี่นทีได้ทำให้สิ่งที่ถูกมองข้าม ปรากฏภาพจนแจ่มชัด แต่นั่นต้องแลกกับสุขภาพที่ถดถอยลงเรื่อยๆ เพราะมีไม่กี่คนที่ทำเรื่องนี้และเข้าถึงพวกเขาอย่างจริงจังสม่ำเสมอ

เมื่อถึงวันที่ส่งพี่นทีสู่ดินแดนอันไกลโพ้น ผมเห็นทุกคนที่เคยสัมผัส ร่วมงานกันมา ร่วมส่งพี่นทีกันด้วยความรักที่มีต่อพี่นที
และให้กำลังใจกับสองชีวิตที่ต้องฝ่าฟันต่อไป
แม้ว่าพี่นทีจะไม่มีกายอยู่บนโลกใบนี้แล้ว
แต่จิตวิญญาณและสิ่งที่เขาทำในยามมีชีวิต ได้กลายเป็นมรดกตกทอดให้กับผู้คน ที่เชื่อว่าทุกชีวิตควรได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพ
และเชื่อว่าสักวันจะมีคนทุ่มเทอย่างพี่นที สานฝันจนสำเร็จ
ให้ชีวิตคนไร้บ้านได้รับการปกป้องและได้รับการเคารพเฉกเช่นเดียวกับผู้คนหลากหลายหน้าตา ฐานะ
อาชีพที่ล้วนมีเลือดเนื้อ มีหัวใจ เจอความเจ็บปวดและได้รับความรักเหมือนกัน
ด้วยรักและอาลัย
(ไม่ลงชื่อ)

ใบไม้หนึ่งใบ
ร่วงในราวป่า
ชีวิตเป็นเช่นนั้น
แต่ชีวิตที่อุทิศให้คนอื่นมาตลอด
ก็สมควรที่ใบไม้ไม่ว่า “เขียว-เหลือง-แดง” จะได้รับการกล่าวถึงบ้าง
“นที สรวารี”