จดหมาย ฉบับประจำวันที่ 11-17 พฤศจิกายน 2565

จดหมาย

 

• กรณีเศรษฐีเวียดนาม – คำถามถึงเอ็นจีโอ

ขออนุญาตพูดจากใจคนที่อยู่ในสนามนโยบายเศรษฐกิจ ต่อกรณีประเด็นให้จับตาเศรษฐี 100 ล้านดอลลาร์ ของประเทศเวียดนาม (ที่มีมากขึ้นและมีจำนวนแซงหน้าไทย)

สาเหตุทางเทคนิคมันตอบได้ง่ายมากเลยครับ

เวียดนามเขารับ FTA เกือบทุกอันที่ถูกเสนอขึ้นตรงหน้าเขาครับ

จะเห็นว่าทั้ง EU ทั้ง RCEP และ CPTPP เวียดนามเอาหมด

ซึ่งต่างจากไทยเราคนละขั้ว ภาคประชาสังคมเราแข็งแกร่ง NGO ทำงานต่อต้านโลกาภิวัตน์ของเราเสียงดังมาก FTA ไหนผ่านเข้ามา เป็นต้องปลุกระดมชาวนา เกษตรกร และผู้ค้ารายย่อยออกมาประท้วง ขัดขวางไม่ให้ไทยเราเข้าไปร่วม

ทั้งๆ ที่เรายังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการเจรจาอะไรกับเขาเลย

นึกสภาพดูสิ NGO บางรายนำข้อเท็จจริงครึ่งๆ กลางๆ มาโพสต์ให้คนแตกตื่น

ชาวนาจะเสียประโยชน์งั้นงี้

ทั้งๆ ที่เขาเปิดโอกาสให้เราเข้าร่วมเจรจาได้ก่อนจะตัดสินใจเข้า คนพวกนี้ก็สักแต่จะค้านอย่างเดียวหัวชนฝา

สุดท้ายพอกระแสมันจุดติด

สังคมก็เกิดความเข้าใจผิดว่า FTA มันไม่ดี ดูอย่าง CPTPP เป็นตัวอย่าง

ผมอยากจะให้ทำความเข้าใจกันก่อนว่า FTA มันไม่ได้เลวร้ายอะไร ถ้าเรารู้จัก ‘เจรจา’ มันก็เหมือนเราไปร้านอาหาร

คุณถามเขาก่อนไหมว่าเมนูที่คุณอยากกินเขาทำให้คุณได้หรือไม่

ไม่ใช่เดินเข้าไปแล้วตะโกนว่าโอ๊ยร้านนี้มันเฮงซวยจังเลย

ไม่อยากกินแล้วเดินออก มันไม่ใช่แบบนั้น บ้าหรือเปล่า

FTA ก็เช่นกัน ถ้าคุณคิดว่าอาหารที่โต๊ะอื่นสั่งมากินมันห่วย

แต่ไม่ลองเข้าไปคุยเจรจากับพ่อครัวว่าอยากกินแบบไหนมันก็อยู่แค่นั้น คุณก็จะไม่มีโอกาสได้อาหารที่คุณอยากกินจากพ่อครัวร้านนั้น

นี่คือสัจธรรม

“ไอ้แก๊ป”

 

ตั้งคำถามใส่เอ็นจีโอตรงๆ

แต่ว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว

สิ่งที่เอ็นจีโอ หรือภาคประชาชนเสนอ

ก็เป็นประโยชน์

ถ่วงดุล และทำให้ภาครัฐคิดให้รอบคอบ

แต่กระนั้น สิ่งที่ “ไอ้แก๊ป” เสนอ

เอ็นจีโอและภาคประชาสังคมก็คงต้องเปิดใจรับฟัง

และถกแถลงกันเพื่อไปร่วมให้ได้

ไม่เอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ขณะเดียวกัน “ไอ้แก๊ป” ก็ควรเปิดรับเช่นกัน

ดัง “อีเมล” ฉบับต่อไป

• เสียงจากเอ็นจีโอ

ประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ 6/2565 วันที่ 8 สิงหาคม 2565 ลงนามโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน

ที่อนุญาตให้นิติบุคคลต่างด้าวที่มีทุน 50 ล้านบาท สามารถถือกรรมสิทธิ์ถาวรที่พักอาศัยและสำนักงานได้ถึง 35 ไร่

โดยเป็นที่ดินสำนักงาน 5 ไร่ และที่พักอาศัยอีก 30 ไร่ โดยไม่ต้องอยู่ติดกัน

นี่คือความผิดพลาดอย่างร้ายแรงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ควรรีบยกเลิก

และถอยออกมาจากกับดักบรรษัทข้ามชาติและแนวคิดเสรีนิยมใหม่ที่เตรียมฮุบประเทศไทย

โดยขุดหลุมพรางให้ทหารการเมืองตกหล่ม ตามที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ประกาศพร้อมถอยแล้ว แต่อย่าได้สับขาหลอกประชาชน

กฎหมายเสริมการลงทุน ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม 2560 อันตรายมาก

ตามมาตรา 27 อนุญาตให้ต่างชาติถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อประกอบกิจการที่ให้การส่งเสริม เป็นโรงงานหรือสถานประกอบการ หากได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI สามารถซื้อได้ไม่มีจำกัดจำนวน และไม่มีเงื่อนไขเงินลงทุน

ส่วนที่สอง คือ การถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อที่พักอาศัยและสำนักงาน 35 ไร่ ประกาศปัจจุบันมีเงื่อนไขต้องเป็นผู้ได้รับการส่งเสริม และมีเงินทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้วไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท

ทำไมรัฐบาลต้องให้ต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน

ในเมื่อประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงยังให้เช่าที่ดินเพื่อประกอบกิจการ นักลงทุนยังเลือกไปลงทุนกันมากมาย

พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน ควรมีการยกเลิกไม่ให้อภิสิทธิ์พิเศษกลุ่มทุนที่ร่ำรวยอยู่แล้ว

ควรปรับเปลี่ยนให้ทันสมัย

สามารถแข่งขันกับเพื่อนบ้านได้

และรักษาผลประโยชน์ของประชาชนไปพร้อมกัน

เพราะปัจจุบันหากถือครองไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์แต่ไม่สามารถบังคับขายได้จริง

สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ จะเกิดตลาดการเก็งกำไรที่ดินในหมู่เจ้าสัว ต่างชาติหลายรายอาจลงทุนแค่ 40-50 ล้านเพื่อแลกสิทธิ์ในการครอบครองที่ดินไร่ละหลายร้อยล้านกลางเมืองใหญ่

กลายเป็นธุรกิจซื้อขายที่ดินไทยอำพราง แทนการลงทุนเพื่อพัฒนาประเทศที่แท้จริง

ต่อไปจะเกิดความขัดแย้งถึงขั้นไล่คนจนออกจากเมือง

และไล่คนไทยออกจากที่ดินของต่างชาติในที่สุด

นายเมธา มาสขาว

เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.)

 

“ไอ้แก๊ป” อ่านแล้วอาจจะขัดใจ

เพราะเป็นข้อเสนออีกสุดขั้วด้านหนึ่ง

แต่ในระบอบประชาธิปไตย

การอดทนฟังแต่ละฝ่าย

น่าจะนำไปสู่ข้อสรุปที่ดี

และดีกว่าไม่ฟังซึ่งกันและกัน

ขนาดรัฐบาลยังสั่งถอย “กฎกระทรวงขายชาติ” เล้ย–ฮา •