จดหมาย (ประจำวันที่ 14-20 มกราคม 2565 ฉบับที่ 2161)

จดหมาย

 

0 ทำใจ

สมัยโบราณ ครูบาศรีวิชัย ทำคุณประโยชน์มากมาย ก็ถูกใส่ร้ายสารพัด

สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พระพิมลธรรม ก็ถูกกล่าวหา

พอถึงยุควัดพระธรรมกาย ก็ถูกทำลายอีก

เป็นเรื่องธรรมดาโลก

พอมาถึงพระมหาสมปองและพระมหาไพลวัลย์ ก็โดนอีก

ท่านพลตรีหลวงวิจิตรวาทการ ท่านจึงกล่าวไว้ว่า

อันที่จริงคนเขาอยากให้เราดี

เราทำเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้

จงทำดีแต่อย่างเด่นจะเป็นภัย

ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน

แล้วผลของกาลเวลาก็พิสูจน์แล้วว่า คนที่ทำกับท่านเหล่านี้มีอันเป็นไปทุกคน

โดยเห็นชัดที่สุดคือ จอมพลสฤษดิ์

เราอย่าลืมว่าคนทำกับท่านเหล่านี้ มักจะมีศีลไม่ครบเหมือนท่านก็ต้องรับกรรมไป

แต่คนไม่จำ ไม่รู้ว่าจะแก้ไขและทำอย่างไร

นอกจากทำ ใจ

ตะวันรอน

อ.ลอง จ.แพร่

 

ทำใจ” อย่างที่ตะวันรอนเสนอมา

ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าทางอื่นๆ

แล้วปล่อยให้กาลเวลาพิสูจน์

พิสูจน์ทั้งผู้กระทำ และผู้ถูกกระทำ

โดยเฉพาะตัวอย่างร้อนๆ ตอนนี้ คือทางเลือกของอดีตพระมหาสมปองและอดีตพระมหาไพรวัลย์

ที่มากด้วยสีสัน ฉูดฉาด

สุดท้ายผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร

 

0 ทำใจ (ยาก)

การเสนอร่างพระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร พ.ศ. … ของรัฐบาล

ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา

โดยอ้างว่าองค์กรไม่แสวงหากำไรและองค์กรภาคประชาชนทั่วประเทศที่ทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ ขาดธรรมาภิบาล ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย

จึงต้องควบคุมเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยนั้น

ถือเป็นการใช้อำนาจรัฐเกินขอบเขต

ให้อำนาจข้าราชการในการใช้ดุลพินิจว่ากิจการใดขัดต่อความสงบเรียบร้อย ขัดต่อความมั่นคงของรัฐได้ตามอำเภอใจ

มีอำนาจสั่งห้ามไม่ให้มีการกระทำนั้นๆ ได้โดยไม่สามารถฟ้องร้องศาลปกครองได้

ทั้งที่สิทธิเสรีภาพดังกล่าวนี้ ถูกรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญหลายฉบับ รวมทั้งฉบับปัจจุบัน

จึงเป็นที่ประจักษ์ว่าร่างพระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร พ.ศ. … มีเจตนาและเนื้อหาต้องการควบคุม กำกับ และเข้าข่ายคุกคามการรวมกลุ่มของประชาชนในทุกรูปแบบ

โดยอ้างเหตุผลว่าต้องการจัดระบบกลุ่มองค์กรทางสังคมในประเทศให้มีความสงบเรียบร้อยมากขึ้น

ทั้งที่ในความจริงแล้วปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมายหลายฉบับ ได้ทำหน้าที่กำกับดูแลและตรวจสอบการรวมกลุ่มทางสังคมเพื่อสาธารณประโยชน์อยู่แล้ว

และองค์กรภายใต้กฎหมายเฉพาะต่างๆ เหล่านี้ก็ได้ปฏิบัติตามกฎหมายฉบับต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดเสมอมา

ดังนั้น ความพยายามของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันกฎหมายฉบับนี้ กำลังส่อเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์และกำลังใช้ระบบราชการอำนาจนิยมแบบเผด็จการทหาร ในการกำกับ ควบคุมภาคประชาชน

และขัดต่อหลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 และกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ

เครือข่ายคัดค้านร่างกฎหมายควบคุมภาคประชาชน ขอยืนยันว่าพวกเราไม่ได้ปฏิเสธการถูกตรวจสอบเพื่อความโปร่งใส

แต่เราไม่ยอมรับ และ 1,800 กว่าองค์กรขอคัดค้านร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้อย่างถึงที่สุด

เครือข่ายคัดค้านร่างกฎหมายควบคุมภาคประชาชน

 

มีความมุ่งมั่นจากรัฐบาลนี้

ที่จะผลักดัน พ.ร.บ.ดังกล่าวออกมาให้ได้

ถือเป็นเรื่องทำใจให้ยอมรับได้ยากจากองค์กรภาคประชาชน

เราในฐานะประชาชนต้องช่วยกันศึกษา ติดตามกันให้ดี

เพราะถึงที่สุด

อาจย้อนกลับมากระทบสิทธิประชาชนโดยตรง