จดหมาย ฉบับประจำวันที่ 17 – 23 กันยายน 2564

จดหมาย

 

รัฐประหาร (1)

 

ได้รับกลิ่นรัฐประหารไม่เว้นแต่ละวัน

ที่ผ่านมายังไม่พออีกเหรอ

ประเทศเสียมากๆ แต่คณะก่อการเห็นร่ำรวยตามๆ กัน

ไม่ว่า จอมพลผิน ชุณหะวัณ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ เป็นต้น

แต่บทกวีนี้ไม่เกี่ยวกับนายทหารข้างต้น

เพียงแต่เกริ่นถึงนายทหารในอนาคตเท่านั้น

 

ดูวงจรอุบาทว์รัฐประหาร

ยึดลัทธิเผด็จการอันยิ่งใหญ่

ฉีกกฎหมายรัฐธรรมนูญสูญสิ้นไป

พร้อมประชาธิปไตยสลายพลัน

 

แล้วยกย่องผองตนปล้นอำนาจ

อ้างทำถูกเพื่อชาติอวดมาดมั่น

ใครหาญสู้กู่ก้องต้องฆ่ามัน

เป็นศาลเตี้ยค้ำยันลั่นกลองรบ

 

เขียนกฎหมายหมายกดทดแทนค่า

ถือศาสตราอาวุธคือจุดจบ

สถาปนาอำนาจรัฐสมทบ

ได้ข้ามศพศัตรูผู้ชนะ

 

บีบบังคับประชาชนคนหมู่มาก

ให้ปิดปากฟังผู้นำตามจังหวะ

ห้ามเรียกร้องเสรีมีพันธะ

แบกภาระชะตามาร่วมมิตร

 

ย้อนประวัติศาสตร์ไทยได้ความว่า

พวกรัฏฐาธิปัตย์ย่ำอำมหิต

ฉวยโอกาสโกงกินสินทุกทิศ

ไหลรวมกองกรรมสิทธิ์นิจนิรันดร์

 

ไทยปล่อยปละละเลยนิ่งเฉยเสีย

ประเทศเปลี้ยชาติยับกับโจรนั่น

สายเกินแก้แพ้ภัยในเร็ววัน

เกิดชนชั้นทรราชเห็นชัดเจน

 

ยิ่งไทยมั่วไทยเถื่อนเหมือนไทยทาส

น่าอนาถงมงายถวายเครื่องเซ่น

ม็อบชนม็อบ กอบกัดด้วยเอออวยเวร

คิดโอนเอนเช่นนี้อีกกี่ยุค?

 

เลวยิ่งกว่าฝูงไก่อยู่ในเข่ง

จิก ตี กันอลเวงเบ่งสนุก

จะตายโหงลงหม้อก็ไม่ทุกข์

มัวล้มลุกลุกล้มต้มเปื่อยแล้ว

 

หยัดบนผืนแผ่นดินทองท่องคำสาป

ประชาชนรับบาปสร้างภาพแก้ว

พุทธแต่ปากกบเลือกนายตาฉายแวว

ก็ไม่แคล้ว หมาจิ้งจอก ไทยหลอกไทย

 

สมบัติ ตั้งก่อเกียรติ

ชูเกียรติ วรรณศูทร

 

 

รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ.2549

โดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ซึ่งมี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะ

วันนี้จะครบ 15 ปี

ประชาชนได้อะไร

ประเทศชาติดีขึ้นหรือไม่

คำเชิญชวนร่วมคาร์ม็อบของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

น่าจะเป็นคำตอบได้อยู่บ้าง

“…15 ปีรัฐประหาร 2549 กระชากสังคมไทยสู่หุบเหว

และถูกทำซ้ำโดยประยุทธ์กับพวกจนเสียหายย่อยยับที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติ

ลบรอยรถถังเผด็จการ ด้วยขบวนรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ประกาศอำนาจประชาชน

19 กันยายน ประชาชนสู้ด้วยกัน”

 

รัฐประหาร (2)

 

เหลนถาม : คุณตาทวดเมื่อไหร่จะคืนประชาธิปไตยให้พวกหนูกันเสียทีละ

คุณตาทวดตอบ : กะลังมันส์ว่ะไอ้หนู่ รอชาติหน้าตอนโพล้เพล้ก็แล้วกันนะ

 

 

วัยขุ่น-วัยที่มักจะเลยกลางคนไปถึงรุ่นแง้มฝาโลง

พวกเขาจะทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องอย่างเดียว

โดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งผลประโยชน์และอำนาจ

เข้ามาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์และประเทศชาติอย่างไม่ขาดสายและไม่ละอายใจ

ตั้งแต่ในอดีตมาถึงปัจจุบัน และก็คงในอนาคตด้วย (อย่างแน่นอน)

วัยใส อุดมคติอุดมการณ์เต็มเปี่ยม อายุยังน้อย ยังอยู่ในวัยเยาว์

ส่วนใหญ่ยังอยู่ในวัยเรียน อยากจะเห็นโลกสดใสงดงาม

เสียสละทุกสิ่งแม้กระทั่งอิสรภาพและชีวิต

หวังจะให้สังคมและผู้คนได้มีสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค และความยุติธรรมเท่าเทียมกัน

โดยมิได้หวังผลประโยชน์ และอามิสสินจ้างใดๆ เป็นสิ่งตอบแทนทั้งสิ้น

คุณค่าต่างกันราวฟ้ากับเหวเลย

แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นานนานจริง ผับผ่า

เรื่อง/ภาพ

ปิยพงศ์ (เมืองหละปูน) บอก

 

ผู้ใหญ่ที่เมาควัน (อำนาจ) จากรัฐประหาร

มิได้คำนึงถึงอะไรอย่างที่ปิยพงศ์ (เมืองหละปูน)

ทำให้ “วัยใส” ต้องเอาอนาคตมาเสี่ยง

เพื่อแลกกับสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค และความยุติธรรมเท่าเทียมกันในวันนี้

น่าเศร้าจริงๆ