จดหมาย/ฉบับประจำวันที่ 27 ก.ค. – 2 ส.ค. 2561

จดหมาย

 

คิดถึง

 

เรียน บ.ก.มติชนสุดสัปดาห์
แฟนประจำหลายท่านหายไปไหนหมด
โดยเฉพาะ “ปิยพงศ์” (เมืองหละปูน)
มาทีไรได้คึกคักฮาเฮ มองเห็นภาพ
โดนเก็บเข้ากรุไปหมดแล้วกระมัง
หรือ บ.ก. สู้แดด พายุ ลม ฝน ไม่ไหว
“ขอแสดงความนับถือ” และ “จดหมาย” เลยกร่อยไปถนัด
แฟน สันทราย เชียงใหม่
ป.ล. หวังว่าไม่นาน แดด ลม พายุ คงจะหมดไป กลับมาครึกครื้นเหมือนเดิมนะ

ตอนนี้กระแส “หามิตร” กำลังพุ่งสูง
จะมองโลกสวยไปหรือเปล่า
ที่ว่า แดด ลม พายุ จะหมดไปอีกไม่นาน
บรรยากาศช่างทำให้ “ใคร” ชวนฝันถึง 20 ปีไม่ใช่หรือ
แต่ใครจะอย่างไรก็ช่าง
คิดถึงอีตา “ปิยพงศ์” (เมืองหละปูน)
เขาพร้อมจะมาให้หายคิดถึงแล้ว

 

ก็มาหา

 

เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
เพื่อนสตรีวัยเดียวกัน ซึ่งคบหากันมาตั้งแต่วัยรุ่น
คุ้นเคยกันเหมือนญาติสนิท
อยู่ กทม.ด้วยกัน และหนีมลภาวะจากเมืองกรุง ขึ้นมาอยู่ลำพูน ไล่เลี่ยกัน
มีสวนแปลงเล็กๆ เหมือนกัน แต่อยู่กันคนละแห่ง
เธอมาหา บอกไปเป็นเพื่อนที่กรุงเทพฯ หน่อย
ธนาคารที่ไปเช่าตู้นิรภัยไว้เมื่อเกือบสี่สิบปีมาแล้ว จดหมายแจ้งมาให้ทราบว่า ธนาคารจะยุบไปรวมกับอีกสาขาหนึ่ง
จึงแจ้งยกเลิกการเช่าตู้นิรภัย
ก็ลงไปเป็นเพื่อน
จัดการเรื่องเสร็จเรียบร้อย ภายในวันเดียวแล้วก็กลับคืนลำพูนด้วยกัน
แต่เรื่องก็ยังไม่เสร็จ
ต้องไปเป็นเพื่อนเขาอีก
เพื่อหาเช่าตู้นิรภัยที่ธนาคารในเมืองลำพูน สำหรับเก็บเอกสารสำคัญบางอย่าง
ส่วนแก้วแหวนเพชรพลอยนั้นไม่มีหรอก
เพราะเธอใช้ชีวิตแบบสมถะ สันโดษเช่นเดียวกับอีตา “ปิยพงศ์”
รถก็มีใช้คันเดียว เป็นรถปิกอัพญี่ปุ่น ใช้มาตั้งแต่ปี 2520 ขับไปไหน คนมองเป็นตาเดียว โบราณทั้งรถทั้งคน
แต่เครื่องยังแจ๋ว แอร์เย็นเจี๊ยบ
แล้วปัญหาเรื่องตู้นิรภัยก็ตามมา หาไม่ได้ เต็มหมดทุกธนาคาร
แต่หากต้องการ ธนาคารแห่งแรกที่ติดต่อไป บอกโดยมีเงื่อนไขว่า ตู้เล็กขนาด 5 คูณ 10 นิ้ว สูงราว 4 นิ้ว คนเช่าต้องมีเงินฝากประจำสิบล้านบาทขึ้นไป
และต้องเสียเงินกินเปล่าให้ธนาคาร 15,000 บาท ค่าเช่าปีละ 3,900 บาท
ขนาด 10 คูณ 10 นิ้ว สูงราว 4 นิ้ว ต้องเสียเงินกินเปล่า 20,000 บาท ค่าเช่าปีละ 5,000 บาท ค่ามัดจำกุญแจอีก 2,500 บาท
ฟังแล้วสะดุ้ง ต้องล่าถอยทันที
ธนาคารเดิมที่กรุงเทพฯ เช่าเกือบสี่สิบปี เพียงเป็นลูกค้าธนาคารเท่านั้น ค่าเช่าเริ่มปีละ 250 บาท จนล่าสุด 400 บาท ค่ามัดจำกุญแจ 2,500 บาท
ยัง…ยังไม่หมดความหวัง
ไปธนาคารใหญ่อีกธนาคารหนึ่ง ผู้จัดการสาขาบอกเต็มหมด
แต่พอหาได้ แต่ต้องเป็นลูกค้าของธนาคารจะพิจารณา เพื่อนสาวก็เลยถามไปเรียบๆ ว่า ต้องมีเงินฝากเท่าไหร่
อีตาผู้จัดการตอบแบบหยิ่งๆ ว่า คนฝากเงินประจำที่นี่บางรายมีเงินฝากถึงสามสิบล้าน ยังต้องรอคิวเลย
ว่าแล้วก็เลยสะกิดเพื่อนสาว (น้อย) กลับเถอะ กลับเถอะ
อย่าถามต่อเลย
ออกจากแบงก์ เพื่อนสาวน้อยบ่นกระปอดกระแปด
ก็เป็นเรื่องปกติครับ สินค้ามีน้อย คนต้องการมาก
มันก็เป็นแบบนี้แหละ
ถือโอกาสขูดรีดกันเลย ก็เลยบอกเพื่อนสาว (น้อย) ไปว่า เก็บไว้ที่บ้านนั่นแหละ
หากมันหายก็ไปแจ้งให้ทางการออกให้ใหม่ (เอกสาร) ไม่ต้องไปเสาะหาตู้มหาภัยที่แบงก์อื่นอีกแล้ว
ป่านนี้เชื้อขูดรีด คงระบาดกันไปทุกแบงก์แล้ว
สอบถามธนาคารรัฐของแบงก์แห่งหนึ่ง ซึ่งสนิทสนมกัน แต่ไม่มีตู้นิรภัยบริการ เขาตอบว่า ตั้งแต่บิ๊กบัง บิ๊กตู่ ทำปฏิวัติรัฐประหาร สิบปีมานี้
เศษรฐกิจย่ำแย่ถดถอย ผู้คนยากจน โจรผู้ร้ายชุกชุม ยาเสพติดระบาดไปทั่ว
ผู้คนเลยไม่กล้าเก็บทรัพย์สินมีค่าไว้กับบ้าน ธนาคารต่างๆ เลยได้โอกาส มีเงื่อนไขต่างๆ ขึ้นมามากมาย
เอ้า สมาคมธนาคารว่ายังไง ตอบหน่อย
จากผ้าขี้ริ้วไม่มีทองให้ห่อ
ปิยพงศ์ (เมืองหละปูน)

นี่เป็นปัญหายุคไทยแลนด์ 4.0
ที่จะต้องเผชิญ
เนื่องจากธนาคารกลายเป็น อี-แบงก์
สาขาจะถูกยุบลงเรื่อยๆ
บริการตู้นิรภัยจะไม่มีอีกแล้ว
ส่วนสังคมก็จะเข้าสู่ยุคผู้สูงอายุ ไม่กล้าเก็บทรัพย์สินไว้กับตัว
แต่หาที่เก็บไม่ได้ แล้วจะแก้อย่างไร
นี่คือสิ่งที่เราจะเจอเหมือนปิยพงศ์ (เมืองหละปูน) กับเพื่อนเจอ
ลำบาก-เดือดร้อนกันไปเรื่อยๆ
สำหรับสังคมสูงอายุ