ฐากูร บุนปาน : แยกรัฐกับศาสนาออกจากกันอย่างชัดเจนดีหรือไม่ ?

สัปดาห์ก่อน ระหว่างที่มีข่าวตะลึงตึงตังว่าคนที่มีตำแหน่งหน้าที่ดูแลพระสงฆ์ จะไปแจ้งความจับพระสงฆ์ใหญ่หลายรูปในข้อหายักยอกเงิน

ซึ่งถือเป็นอาบัติขั้นปาราชิก โทษคือจับสึกสถานเดียว

ก็มีข่าวพุทธศาสนาชิ้นเล็กๆ แทรกมา

เรื่องท่านที่ห่มสีกลักรายหนึ่ง ประกาศตัวต่อหน้าศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย

ว่าบรรลุอรหันต์แล้ว

ขออย่าได้สงสัยกันต่อไปอีกเลย

ด้วยความรู้ทางพุทธศาสนาแบบหางอึ่ง ไม่กล้าฟันธงชี้ขาดหรอกครับว่า การประกาศตัวเป็นอรหันต์ต่อหน้าผู้ที่ไม่ได้เป็นอรหันต์ด้วยกันนี่

เข้าข่ายอวดอุตริมนุสธรรมหรือไม่

และเป็นอาบัติขั้นปาราชิกหรือไม่

เป็นเรื่องที่สงฆ์ท่านจะต้องไปว่ากันเอง

ส่วนจะว่าได้หรือไม่ เพราะฝ่ายที่จะถูกว่าท่านประกาศตัวว่าไม่อยู่ภายใต้อาณัติของคณะสงฆ์ไทยมานานแล้ว

ก็เป็นอีกเรื่อง

แต่ที่น่าสนใจก็คือ ทำไมท่าทีของสำนักงานพุทธศาสนาต่ออาบัติปาราชิกในสองกรณีนี้ผิดกันนัก

ซีกหนึ่งจะเอาตายให้ได้ ยังไม่ทันจับก็ออกข่าวครึกโครมใหญ่โต

อีกซีกนั้นเงียบสนิท

จนคนไปลือกันให้แซดว่า จะเป็นเพราะหัวหน้าใหญ่สำนักพุทธเคยเป็นศิษย์สำนักนั้นมาหรือไม่

เลยเกรงอกเกรงใจท่านอาจารย์ใหญ่เป็นพิเศษ

เข้าตำราลูบหน้าปะจมูก

แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ประเด็นของวันนี้

เรื่องที่อยากยกมาแลกเปลี่ยนสนทนา ไม่ใช่หัวข้อใหม่อะไรในสังคมไทย

มีท่านผู้รู้ ทั้งศาสนาและวิชาการเสนอเอาไว้หลายท่านนานปีแล้วด้วยว่า

ถ้าอยากจรรโลงศาสนา หรือไม่ต้องให้วิลิศมาหราขนาดนั้น-เอาเป็นว่า ถ้าไม่อยากให้ศาสนายุ่งขิง เพราะฆราวาสเข้าไปช่วยจัดการด้วย

แยกรัฐกับศาสนาให้ออกจากกันอย่างชัดเจนดีหรือไม่

ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ ให้ท่านว่ากันไป

สำนักไหน นิกายไหนห่วยแตก ปฏิบัติไม่ได้ผล สอนแล้วไม่ได้เรื่อง

เดี๋ยวก็เรียวเล็ก หายสาบสูญไปเอง

ลำพังกฎหมายปกติธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องต้มตุ๋นหลอกหลวงหรือโฆษณาเกินจริง ก็มีอยู่แล้ว

ถ้าเข้าข่ายก็ว่ากันไป

แต่ถ้าเมื่อไหร่ รัฐเข้าไปอุดหนุนศาสนานั้น นิกายนี้

อีกทางหนึ่งก็เหมือนกดศาสนา หรือนิกาย หรือสำนักอื่นไปโดยปริยาย

ยิ่งไปทำโครงสร้างพระให้ใหญ่เหมือนโครงสร้างระบบราชการ

ยิ่งไปกันใหญ่

หลวงตงหลวงตาเป็นกันไม่ได้แล้ว ต้องกลายเป็นเจ้าคงเจ้าคุณ ถึงจะมีคนขึ้น

นี่ก็รัฐหยิบยื่น (หายนะ) ให้ทั้งนั้น

เท่านั้นไม่พอ

พอมีอำนาจเข้าไปยุ่มย่ามก้าวก่ายได้ ก็มีแนวโน้มจะใช้อำนาจนั้นทำให้เละยิ่งขึ้นไปกว่าเก่า

อย่างที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้

ลำพังเจ้ากูท่านจัดการของท่านก็ชวนปวดกบาลอยู่แล้ว

มีฆราวาสเข้าไปจุ้นจ้านในนามของกฎหมาย ในนามของอำนาจรัฐ

ยิ่งยุ่งกันเข้าไปใหญ่

ไม่เชื่อก็ดูเอาเถอะว่า

แต่ละเรื่องที่ยื่นจมูกเข้าไปจัดการที่ผ่านๆ มา

มีอันไหนจบ อันไหนเรียบร้อยบ้าง

รู้ว่าพูดไปก็เท่านั้น

ถึงอย่างไร รัฐหรือราชการไทยก็ไม่มีวันปล่อยศาสนาออกไปจากเงื้อมมือของตัวเองได้

เพราะนี่คือหนึ่งในเครื่องมือที่จะเข้าถึง ควบคุม เกลี้ยกล่อม รวบรวม (หรือไปจนกระทั่งแบ่งแยก) ประชาชนที่ได้ผลที่สุดขนานหนึ่ง

ฉะนั้น พอมีขั้วอำนาจอื่นที่ไม่สยบยอมให้รัฐโผล่ขึ้นมา

รัฐและศาสนาซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็จะต้องทำการ “ตบเกรียน” ทุกครั้งไป

ไม่ปล่อยให้สังคมได้เรียนรู้ ตัดสินใจ หรือเลือกที่จะเชื่อ-ไม่เชื่อด้วยตัวเอง

อย่างกรณีอรหันต์ท่านล่าสุดนั้น

ต่อให้รัฐไม่ต้องยื่นมือเข้าไปทำอะไร ถามว่าคนสติสัมปชัญญะปกติกี่ราย จะเชื่อถือคล้อยตาม หรือปักใจจริงๆ ว่านี่เขาจะอยู่เป็นชาติสุดท้าย ไม่มาเกิดอีกแล้ว

ถ้าเจ๋งขนาดนั้นจริง

ป่านนี้เขามิยิ่งใหญ่กว่ารัฐศาสนาไทยไปแล้วหรือ

สำนักที่เพิ่งถูกทุบไปหมาดๆ นั่นก็เหมือนกัน

คุมเขาไม่ได้ เขาไม่อยู่ฝ่ายเรา

ต้องเอามันให้ตาย-แล้วตายไหม

แทนที่จะสู้ด้วยข้อมูล หักล้างด้วยความเชื่อ-ถ้าคิดว่าของตัวเองถูกต้องกว่าดีกว่า

ผ่าใช้กำปั้นมันทุกหน เพราะรัฐกับศาสนาแยกกันไม่ได้

มันก็เลยต้องอยู่กันเละๆ ไปอย่างนี้ละครับท่าน