ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 4 - 10 พฤษภาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
สัปดาห์ก่อน ระหว่างที่มีข่าวตะลึงตึงตังว่าคนที่มีตำแหน่งหน้าที่ดูแลพระสงฆ์ จะไปแจ้งความจับพระสงฆ์ใหญ่หลายรูปในข้อหายักยอกเงิน
ซึ่งถือเป็นอาบัติขั้นปาราชิก โทษคือจับสึกสถานเดียว
ก็มีข่าวพุทธศาสนาชิ้นเล็กๆ แทรกมา
เรื่องท่านที่ห่มสีกลักรายหนึ่ง ประกาศตัวต่อหน้าศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย
ว่าบรรลุอรหันต์แล้ว
ขออย่าได้สงสัยกันต่อไปอีกเลย
ด้วยความรู้ทางพุทธศาสนาแบบหางอึ่ง ไม่กล้าฟันธงชี้ขาดหรอกครับว่า การประกาศตัวเป็นอรหันต์ต่อหน้าผู้ที่ไม่ได้เป็นอรหันต์ด้วยกันนี่
เข้าข่ายอวดอุตริมนุสธรรมหรือไม่
และเป็นอาบัติขั้นปาราชิกหรือไม่
เป็นเรื่องที่สงฆ์ท่านจะต้องไปว่ากันเอง
ส่วนจะว่าได้หรือไม่ เพราะฝ่ายที่จะถูกว่าท่านประกาศตัวว่าไม่อยู่ภายใต้อาณัติของคณะสงฆ์ไทยมานานแล้ว
ก็เป็นอีกเรื่อง
แต่ที่น่าสนใจก็คือ ทำไมท่าทีของสำนักงานพุทธศาสนาต่ออาบัติปาราชิกในสองกรณีนี้ผิดกันนัก
ซีกหนึ่งจะเอาตายให้ได้ ยังไม่ทันจับก็ออกข่าวครึกโครมใหญ่โต
อีกซีกนั้นเงียบสนิท
จนคนไปลือกันให้แซดว่า จะเป็นเพราะหัวหน้าใหญ่สำนักพุทธเคยเป็นศิษย์สำนักนั้นมาหรือไม่
เลยเกรงอกเกรงใจท่านอาจารย์ใหญ่เป็นพิเศษ
เข้าตำราลูบหน้าปะจมูก
แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ประเด็นของวันนี้
เรื่องที่อยากยกมาแลกเปลี่ยนสนทนา ไม่ใช่หัวข้อใหม่อะไรในสังคมไทย
มีท่านผู้รู้ ทั้งศาสนาและวิชาการเสนอเอาไว้หลายท่านนานปีแล้วด้วยว่า
ถ้าอยากจรรโลงศาสนา หรือไม่ต้องให้วิลิศมาหราขนาดนั้น-เอาเป็นว่า ถ้าไม่อยากให้ศาสนายุ่งขิง เพราะฆราวาสเข้าไปช่วยจัดการด้วย
แยกรัฐกับศาสนาให้ออกจากกันอย่างชัดเจนดีหรือไม่
ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ ให้ท่านว่ากันไป
สำนักไหน นิกายไหนห่วยแตก ปฏิบัติไม่ได้ผล สอนแล้วไม่ได้เรื่อง
เดี๋ยวก็เรียวเล็ก หายสาบสูญไปเอง
ลำพังกฎหมายปกติธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องต้มตุ๋นหลอกหลวงหรือโฆษณาเกินจริง ก็มีอยู่แล้ว
ถ้าเข้าข่ายก็ว่ากันไป
แต่ถ้าเมื่อไหร่ รัฐเข้าไปอุดหนุนศาสนานั้น นิกายนี้
อีกทางหนึ่งก็เหมือนกดศาสนา หรือนิกาย หรือสำนักอื่นไปโดยปริยาย
ยิ่งไปทำโครงสร้างพระให้ใหญ่เหมือนโครงสร้างระบบราชการ
ยิ่งไปกันใหญ่
หลวงตงหลวงตาเป็นกันไม่ได้แล้ว ต้องกลายเป็นเจ้าคงเจ้าคุณ ถึงจะมีคนขึ้น
นี่ก็รัฐหยิบยื่น (หายนะ) ให้ทั้งนั้น
เท่านั้นไม่พอ
พอมีอำนาจเข้าไปยุ่มย่ามก้าวก่ายได้ ก็มีแนวโน้มจะใช้อำนาจนั้นทำให้เละยิ่งขึ้นไปกว่าเก่า
อย่างที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้
ลำพังเจ้ากูท่านจัดการของท่านก็ชวนปวดกบาลอยู่แล้ว
มีฆราวาสเข้าไปจุ้นจ้านในนามของกฎหมาย ในนามของอำนาจรัฐ
ยิ่งยุ่งกันเข้าไปใหญ่
ไม่เชื่อก็ดูเอาเถอะว่า
แต่ละเรื่องที่ยื่นจมูกเข้าไปจัดการที่ผ่านๆ มา
มีอันไหนจบ อันไหนเรียบร้อยบ้าง
รู้ว่าพูดไปก็เท่านั้น
ถึงอย่างไร รัฐหรือราชการไทยก็ไม่มีวันปล่อยศาสนาออกไปจากเงื้อมมือของตัวเองได้
เพราะนี่คือหนึ่งในเครื่องมือที่จะเข้าถึง ควบคุม เกลี้ยกล่อม รวบรวม (หรือไปจนกระทั่งแบ่งแยก) ประชาชนที่ได้ผลที่สุดขนานหนึ่ง
ฉะนั้น พอมีขั้วอำนาจอื่นที่ไม่สยบยอมให้รัฐโผล่ขึ้นมา
รัฐและศาสนาซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็จะต้องทำการ “ตบเกรียน” ทุกครั้งไป
ไม่ปล่อยให้สังคมได้เรียนรู้ ตัดสินใจ หรือเลือกที่จะเชื่อ-ไม่เชื่อด้วยตัวเอง
อย่างกรณีอรหันต์ท่านล่าสุดนั้น
ต่อให้รัฐไม่ต้องยื่นมือเข้าไปทำอะไร ถามว่าคนสติสัมปชัญญะปกติกี่ราย จะเชื่อถือคล้อยตาม หรือปักใจจริงๆ ว่านี่เขาจะอยู่เป็นชาติสุดท้าย ไม่มาเกิดอีกแล้ว
ถ้าเจ๋งขนาดนั้นจริง
ป่านนี้เขามิยิ่งใหญ่กว่ารัฐศาสนาไทยไปแล้วหรือ
สำนักที่เพิ่งถูกทุบไปหมาดๆ นั่นก็เหมือนกัน
คุมเขาไม่ได้ เขาไม่อยู่ฝ่ายเรา
ต้องเอามันให้ตาย-แล้วตายไหม
แทนที่จะสู้ด้วยข้อมูล หักล้างด้วยความเชื่อ-ถ้าคิดว่าของตัวเองถูกต้องกว่าดีกว่า
ผ่าใช้กำปั้นมันทุกหน เพราะรัฐกับศาสนาแยกกันไม่ได้
มันก็เลยต้องอยู่กันเละๆ ไปอย่างนี้ละครับท่าน