ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 เมษายน - 3 พฤษภาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
ขออนุญาตโหนกระแสแม่การะเกดกับเขาด้วยคน
ถึงละครจะลาจอไปแล้ว
แต่แรงกระเพื่อมชนิดนกอินทรีผละกิ่งที่ละครเรื่องนี้ทิ้งเอาไว้ให้กับสังคมไทย
ยังโยกไหวชนิดจับต้องได้
เมื่อวันอาทิตย์ 22 เมษายน ที่ผ่านมา พี่เพื่อนน้องที่ “มติชน-ข่าวสด-ศิลปวัฒนธรรม” เขาช่วยกันจัดงาน “บุพเพฯ เสวนา-กรณีออเจ้ากับเรื่องเล่าประวัติศาสตร์”
ได้วิทยากรระดับซือแป๋เรียกอาจารย์มา 4 ท่าน ประกอบด้วย
รองนายกฯ วิษณุ เครืองาม รัฐมนตรีท่องเที่ยว-วีรศักดิ์ โค้วสุรัตน์ อาจารย์สุเนตร ชุตินธรานนท์ ผู้ปลุกพระนเรศวรให้กลับมามีเลือดมีเนื้อเป็นคนเหมือนเราท่านทั่วไป
และอาจารย์ธงทอง จันรางศุ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ไม่น้อยไปกว่าปริญญาเอกกฎหมาย
สนุกครับ
ทั้งกับท่านที่ฟังอยู่ในห้องประชุมข่าวสดวันนั้น และอีกร่วมแสนท่านที่ติดตามรับฟังการไลฟ์สดๆ ผ่านเฟซบุ๊กของเพจข่าวสด-มติชน-ศิลปวัฒนธรรม
สำหรับท่านที่พลาดไป ลองเปิดเครื่องเข้าไปค้นในสามเพจที่ว่าดู
รับรองไม่ผิดหวัง
เท่าที่สมองงูๆ ปลาๆ จับความได้ เนื้อใหญ่ใจความที่เป็นแก่นของการเสวนาในวันนั้นก็คือ
บุพเพสันนิวาสและแม่การะเกด (รวมพี่หมื่นให้หน่อยก็ได้-เดี๋ยวคุณผู้หญิงทั้งหลายจะงอน-ฮา) จุดประกายอย่างหนึ่งขึ้นมาในสังคมไทย
ไม่ใช่แค่การใส่เสื้อผ้าชุดไทยแบบเดิม (ไทยหรือเดิมแค่ไหนเดี๋ยวว่ากันอีกที) หรือการท่องเที่ยวตามวัดตามวัง
แต่คือการเสาะแสวงหาความรู้ความเข้าใจในประวัติศาสตร์ ในรากเหง้า ในความเป็นมา ในชีวิตความเป็นอยู่
มากไปกว่าตำราเรียนที่เน้น “ประวัติศาสตร์บาดหมาง” (ตามศัพท์ของคุณสุจิตต์ วงษ์เทศ)
ถ้าจะมีอะไรที่ทำให้มรดกของแม่หญิงกับคุณพี่หมื่นมีค่าที่สุด
ก็คือการทำให้ความอยากรู้อยากเห็น และการเสาะแสวงหาความรู้นี้ไม่หยุดไม่ดับลงเหมือนไฟไหม้ฟาง
ประเด็นนี้ในส่วนของเอกชนหรือภาควิชาการนั้นไม่เท่าไหร่
ภาคราชการน่ะปัญหาใหญ่หน่อย
เอาแค่หนังสือประวัติศาสตร์ชาติไทยของกรมศิลปากรฉบับล่าสุด
จนถึงวันหยุดหายใจยังไม่รู้ว่าท่านจะแก้ไขให้ “พอจริง-พอดี” ไหมเลย
ฮา
ประเด็นที่ท่านอาจารย์สุเนตรและอาจารย์ธงทองตบเอาไว้ในตอนท้ายก็คือ
บุพเพฯ นั้นเป็นอุบัติเหตุ ถ้าเทียบกับ “แดจังกึม” ของเกาหลีที่มีการวางแผน มีการวางรากฐานหนักแน่นกว่า
การจะสืบทอดต่อยอด หรือผลิตอะไรที่สามารถ “สร้างกระแส” ขึ้นมาได้ใกล้เคียงกัน
จึงไม่ง่าย
ถ้าไม่มีการปรับระบบการจัดการ (ของภาครัฐ) ปรับระบบการศึกษา (ก็ในภาครัฐอีกนั่นแหละ)
คือสรุปว่า ถ้าอยากจะโหนกระแสแม่การะเกด หรือหวังจะให้แม่นายเขาช่วยให้ “ทุนวัฒนธรรม” เมืองไทยก้าวไปอีกขั้น
ที่จะต้องปรับตัวกันยกใหญ่ที่สุดก็คือภาคราชการนี่แหละ
แต่การบ้านประเภทนี้ไม่เคยปรากฏในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (ฮา)
จะหวังท่านผู้นำให้ช่วยผลักดันการเปลี่ยนแปลง
ก็เห็นท่านเปลี่ยนใจจากแม่การะเกด ไปเต้นคุกกี้เสี่ยงทายกับน้องๆ BNK48 ในทำเนียบเมื่อวันก่อนเสียแล้ว
ฮา (อีกที)
กลับมาที่ประเด็นเล็กๆ (แต่เป็นอุบายที่ดี) อย่างการแต่งผ้าไทย
ถ้าจะให้สนุกหรือให้มีผลกับคนส่วนใหญ่จริงๆ
อย่าสนับสนุนกันแค่ชุดย้อนยุคของรัตนโกสินทร์ หรือชุดของราชสำนักภาคกลาง
ชุดชาวเขา ชุดชาวบ้าน เสื้อม่อฮ่อม โสร่งปาเต๊ะ ซิ่นลาว ก็ควรได้รับเกียรติเสมอกัน
เอาอย่างแรกเลยคือแต่งขึ้นไปติดต่อสถานที่ราชการให้ได้ก่อน
อย่าอ้างกฎหมายดุ้นๆ ลุ่นๆ ว่าไม่มีข้อห้ามอะไร ประชาชนแต่งได้อยู่แล้ว
ลองนึกถึงความเป็นจริงของวันนี้ แต่งชุดสากลกับชุดชาวบ้านเข้าไปติดต่อราชการ
ใครจะได้รับบริการดีกว่ากัน
หรือที่เขาขอกันมานานช้า แต่ว่ายังไม่เคยได้รับการตอบสนองใดๆ
คือการห้ามใส่รองเท้าแตะเข้าไปในสถานที่ราชการบางที่
ยกเลิกเสียทีได้ไหม
มีสตางค์ก็อยากใส่รองเท้าหรูๆ แพงๆ กันทั้งนั้น
ก็มันไม่มี หรือมีอยู่แค่นี้
นี่เป็นความผิดชาวบ้านด้วยหรือ ถึงได้เหยียดกันเป็นประชาชนชั้นสอง
แม่หญิงกระเกดเธอรับไม่ได้นะ