ฐากูร บุนปาน : สำหรับนักการเมืองชื่อ’ประยุทธ์’

นั่งไล่อ่านไล่ฟังมาร่วมสัปดาห์

ก็ยังไม่พบใครออกมาแสดงความเห็นในเชิงลบต่อการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.

ประกาศตัวชัดเจนว่า

“ผมเป็นนักการเมือง”

เห็นแต่จะขานรับกันด้วยความยินดี

ว่าถูกต้องแล้วที่ทำให้ชัดเจนบ้าง

ว่าดีงามแล้วที่เลือกทางประชาธิปไตยบ้าง

ก็น่าอนุโมทนา

แต่ส่วนใหญ่แทบทุกท่านที่ออกมาแสดงความเห็นเรื่องการประกาศตัวเป็นนักการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น

แม้จะร่วมต้อนรับด้วยความยินดี

ก็มักจะมี “ติ่ง” หรือเงื่อนไขบางประการแถมมาด้วย

จึงขอถือโอกาสนี้รวบรวมความเห็นที่ว่าของท่านผู้รู้ทั้งหลายบ้าง ประกอบเข้ากับที่คิดที่เชื่อเองบ้าง

ออกมาได้ดังนี้

คือเมื่อประกาศตัวเป็นนักการเมือง

ในที่นี้ก็ต้องหมายถึงนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย

คงจะเป็นระบอบอื่นไปไม่ได้

เมื่อเป็นประชาธิปไตย ก็หมายความว่า จะต้องยอมรับหลักการสำคัญบางประการของประชาธิปไตย

ในที่นี้เอาแค่ง่ายๆ เบาะๆ สองข้อไปก่อน

ประการแรกก็คือ ต้องยอมรับในความแตกต่างหลากหลาย

เพราะถ้าคิดตรงกันหมดทุกอย่างก็คงไม่มีประชาธิปไตย

ถ้าไม่เป็นสังคมพระศรีอาริย์ ที่ทุกคนบรรลุโสดาบันไปแล้ว รู้หน้าที่รู้ความควรไม่ควร

ก็คงพากันกอดคอเดินลงเหวสิ้นลมกันไปหมดแล้ว

เพราะประชาธิปไตยยอมรับความเป็นจริงของความแตกต่างหลากหลาย

จึงกำหนดกติกาเอาไว้ด้วยว่า ต้องใช้วิธีอารยะและใช้เสียงส่วนใหญ่เข้าระงับหรือตัดสินปัญหา ข้อขัดแย้ง และความแตกต่าง

เอะอะจะใช้กำปั้นทุบกันย่อมไม่ใช่ประชาธิปไตย

ประการต่อมาก็คือ เมื่อรับว่ามีความแตกต่างหลากหลาย และต้องใช้วิธีอารยะเข้าจัดการหรือตัดสินปัญหา

ก็เท่ากับยอมรับว่า สมาชิกทุกคนในสังคมเป็นคนเท่ากันเหมือนกัน

ถ้าขืนไปเชื่ออคติประเภท

คนกรุงเทพฯ เสียงมีน้ำหนักกว่าคนต่างจังหวัด

คนรวยย่อมมีสิทธิมีเสียงมากกว่าคนจน

ผู้มีอำนาจเสียงดังกว่าชาวบ้าน

ฯลฯ

อย่างนั้นก็พาไปสู่หายนะสถานเดียว

มนุษย์อาจไม่เท่ากันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะฐานะ การศึกษา โอกาส หรืออำนาจในมือ

แต่สิทธิพื้นฐานของความเป็นคน ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการแสดงออก

หรือสิทธิในการเลือกตั้งที่แต่ละคนมีหนึ่งเสียงเท่ากัน

ฯลฯ

ต้องได้รับความเคารพ

อันหมายถึงต้องได้รับการปฏิบัติที่เป็นจริง

ไม่ใช่เคารพกันแต่ปาก

และเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ท่านเป็นนักการเมืองเสียแล้ว

อย่างน้อยก็มีคนคาดหวังว่า ความแตกต่างหลากหลายในสังคมและความเป็นคนเท่ากัน จะได้รับการปฏิบัติอย่างถูกต้อง

บรรยากาศของการใช้อำนาจตามอำเภอใจจะผ่อนคลาย

ไม่มีใครต้องถูกเอาปืนจี้หลังไปนั่งห้องเย็น แค่เพราะเห็นต่างทางการเมืองกับผู้มีอำนาจ

หรือคนที่ถูกอำนาจรังแก-ในนามของความมั่นคง ก็ต้องได้รับการตัดสินใหม่อย่างเปิดเผยโปร่งใส

ถ้าพบว่าที่ผ่านมาไม่เป็นธรรม ก็ต้องได้รับการปล่อยตัว

ไม่เลือกว่าจะเป็นใครหรือสีไหน

ถ้าทำได้ บรรยากาศบ้านเมืองที่อึมครึมเหมือนอากาศช่วงที่ผ่านมาก็จะสดใสสว่างขึ้น

ความหวังในชีวิตในอนาคตก็จะพลอยเพิ่มขึ้นด้วย

เพราะความเป็นปกติเริ่มจะกลับคืนมา

ที่น่าห่วงไม่ว่าจะสำหรับตัว พล.อ.ประยุทธ์ หรือสังคมไทย

ก็คือ การประกาศตัวว่าเป็นนักการเมืองของท่าน ไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นฐานอะไรเลย

นอกจากการเอาชนะทางการเมือง

เพราะถ้าออกมาในรูปนั้น การใช้อำนาจของผู้มีอำนาจก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปจากเดิม

บรรยากาศบ้านเมืองก็จะอึมครึมซึมเซาไม่ต่างไปจากเดิม

ที่คิดว่าจะมีความหวังความฝัน ก็ให้เก็บพับกันต่อไป

สังคมไทยก็จะเป็น “สังคมผีดิบ” คือจะเป็นก็ไม่เป็น จะตายก็ไม่ตาย กันอย่างนี้ต่อไป

เสียงสรรเสริญหรือคำยินดีชื่นชมที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ในวันนี้

จะเปลี่ยนเป็นเสียงอะไรก็ยังไม่ทราบ

ทราบแต่ว่า ท่านเลือกได้ว่า อยากจะให้สังคมไทยและตัวเองเป็นอย่างไรต่อไป

เป็นทางเลือกที่ไม่ยากเสียด้วย