ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12 - 18 มกราคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
นั่งไล่อ่านไล่ฟังมาร่วมสัปดาห์
ก็ยังไม่พบใครออกมาแสดงความเห็นในเชิงลบต่อการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.
ประกาศตัวชัดเจนว่า
“ผมเป็นนักการเมือง”
เห็นแต่จะขานรับกันด้วยความยินดี
ว่าถูกต้องแล้วที่ทำให้ชัดเจนบ้าง
ว่าดีงามแล้วที่เลือกทางประชาธิปไตยบ้าง
ก็น่าอนุโมทนา
แต่ส่วนใหญ่แทบทุกท่านที่ออกมาแสดงความเห็นเรื่องการประกาศตัวเป็นนักการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น
แม้จะร่วมต้อนรับด้วยความยินดี
ก็มักจะมี “ติ่ง” หรือเงื่อนไขบางประการแถมมาด้วย
จึงขอถือโอกาสนี้รวบรวมความเห็นที่ว่าของท่านผู้รู้ทั้งหลายบ้าง ประกอบเข้ากับที่คิดที่เชื่อเองบ้าง
ออกมาได้ดังนี้
…
คือเมื่อประกาศตัวเป็นนักการเมือง
ในที่นี้ก็ต้องหมายถึงนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย
คงจะเป็นระบอบอื่นไปไม่ได้
เมื่อเป็นประชาธิปไตย ก็หมายความว่า จะต้องยอมรับหลักการสำคัญบางประการของประชาธิปไตย
ในที่นี้เอาแค่ง่ายๆ เบาะๆ สองข้อไปก่อน
ประการแรกก็คือ ต้องยอมรับในความแตกต่างหลากหลาย
เพราะถ้าคิดตรงกันหมดทุกอย่างก็คงไม่มีประชาธิปไตย
ถ้าไม่เป็นสังคมพระศรีอาริย์ ที่ทุกคนบรรลุโสดาบันไปแล้ว รู้หน้าที่รู้ความควรไม่ควร
ก็คงพากันกอดคอเดินลงเหวสิ้นลมกันไปหมดแล้ว
เพราะประชาธิปไตยยอมรับความเป็นจริงของความแตกต่างหลากหลาย
จึงกำหนดกติกาเอาไว้ด้วยว่า ต้องใช้วิธีอารยะและใช้เสียงส่วนใหญ่เข้าระงับหรือตัดสินปัญหา ข้อขัดแย้ง และความแตกต่าง
เอะอะจะใช้กำปั้นทุบกันย่อมไม่ใช่ประชาธิปไตย
…
ประการต่อมาก็คือ เมื่อรับว่ามีความแตกต่างหลากหลาย และต้องใช้วิธีอารยะเข้าจัดการหรือตัดสินปัญหา
ก็เท่ากับยอมรับว่า สมาชิกทุกคนในสังคมเป็นคนเท่ากันเหมือนกัน
ถ้าขืนไปเชื่ออคติประเภท
คนกรุงเทพฯ เสียงมีน้ำหนักกว่าคนต่างจังหวัด
คนรวยย่อมมีสิทธิมีเสียงมากกว่าคนจน
ผู้มีอำนาจเสียงดังกว่าชาวบ้าน
ฯลฯ
อย่างนั้นก็พาไปสู่หายนะสถานเดียว
มนุษย์อาจไม่เท่ากันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะฐานะ การศึกษา โอกาส หรืออำนาจในมือ
แต่สิทธิพื้นฐานของความเป็นคน ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการแสดงออก
หรือสิทธิในการเลือกตั้งที่แต่ละคนมีหนึ่งเสียงเท่ากัน
ฯลฯ
ต้องได้รับความเคารพ
อันหมายถึงต้องได้รับการปฏิบัติที่เป็นจริง
ไม่ใช่เคารพกันแต่ปาก
…
และเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ท่านเป็นนักการเมืองเสียแล้ว
อย่างน้อยก็มีคนคาดหวังว่า ความแตกต่างหลากหลายในสังคมและความเป็นคนเท่ากัน จะได้รับการปฏิบัติอย่างถูกต้อง
บรรยากาศของการใช้อำนาจตามอำเภอใจจะผ่อนคลาย
ไม่มีใครต้องถูกเอาปืนจี้หลังไปนั่งห้องเย็น แค่เพราะเห็นต่างทางการเมืองกับผู้มีอำนาจ
หรือคนที่ถูกอำนาจรังแก-ในนามของความมั่นคง ก็ต้องได้รับการตัดสินใหม่อย่างเปิดเผยโปร่งใส
ถ้าพบว่าที่ผ่านมาไม่เป็นธรรม ก็ต้องได้รับการปล่อยตัว
ไม่เลือกว่าจะเป็นใครหรือสีไหน
ถ้าทำได้ บรรยากาศบ้านเมืองที่อึมครึมเหมือนอากาศช่วงที่ผ่านมาก็จะสดใสสว่างขึ้น
ความหวังในชีวิตในอนาคตก็จะพลอยเพิ่มขึ้นด้วย
เพราะความเป็นปกติเริ่มจะกลับคืนมา
…
ที่น่าห่วงไม่ว่าจะสำหรับตัว พล.อ.ประยุทธ์ หรือสังคมไทย
ก็คือ การประกาศตัวว่าเป็นนักการเมืองของท่าน ไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นฐานอะไรเลย
นอกจากการเอาชนะทางการเมือง
เพราะถ้าออกมาในรูปนั้น การใช้อำนาจของผู้มีอำนาจก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปจากเดิม
บรรยากาศบ้านเมืองก็จะอึมครึมซึมเซาไม่ต่างไปจากเดิม
ที่คิดว่าจะมีความหวังความฝัน ก็ให้เก็บพับกันต่อไป
สังคมไทยก็จะเป็น “สังคมผีดิบ” คือจะเป็นก็ไม่เป็น จะตายก็ไม่ตาย กันอย่างนี้ต่อไป
เสียงสรรเสริญหรือคำยินดีชื่นชมที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ในวันนี้
จะเปลี่ยนเป็นเสียงอะไรก็ยังไม่ทราบ
ทราบแต่ว่า ท่านเลือกได้ว่า อยากจะให้สังคมไทยและตัวเองเป็นอย่างไรต่อไป
เป็นทางเลือกที่ไม่ยากเสียด้วย