ฐากูร บุนปาน : กระทรวงไดโนเสาร์

หะแรกเลยนั้นตั้งใจเอาไว้ว่าจะเขียน “ขายของ” ตามถนัด

เพราะกำลังติดพันอยู่กับหนังสือเล่มใหญ่แต่วางไม่ลงอย่าง “หลังสิ้นบัลลังก์มังกร ประวัติศาสตร์จีนยุคเปลี่ยนผ่าน” ที่จับเอาประวัติศาสตร์ตั้งแต่ช่วงสงครามฝิ่นปลายราชวงศ์ชิง

มาจนกระทั่งถึงยุคขุนศึก และสาธารณรัฐ

ก่อนจะมาเป็นช่วงพรรคคอมมิวนิสต์ครองเมือง

ช่วงเวลารวมทั้งสิ้นประมาณ 200 ปี

แต่เป็นสองร้อยปีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน

ที่สนุกน่าอ่านนั้น เพราะเขารวบรวมประวัติศาสตร์ทั้งกระแสหลัก และเรื่องของคนตัวเล็กตัวน้อยเอาไว้มากมาย

ทำให้ได้ภาพครบถ้วนเหมือนขึ้นเขาไปชมทิวทัศน์

คือทอดตาไปไกลก็เห็นโลกกว้าง

ระหว่างทางผ่านก็เห็นไม้ดอกไม้ใบ และสัตว์น้อยใหญ่

สนุกจริงครับ

มีโอกาสจะมา “สปอยล์” กันให้มากกว่านี้

แต่ถ้าขี้เกียจรอ จะอุดหนุนจากร้านหนังสือทั่วไปก็ได้

ขอบพระคุณเอาไว้ล่วงหน้า

แต่บังเอิญอย่างยิ่งที่มีเรื่องเข้ามาแทรก

เพราะตลาดเขาลือกันหนาหูว่า ช่วงเวลาของการประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่นั้นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแล้ว

ไม่เขียนถึงเดี๋ยวก็จะเชย ตกขบวน

ขออนุญาต “แจม” กับเขาสักดอกสองดอก

เพราะได้ยินว่า ปรับ ครม. รอบนี้ “แรง” มิใช่เล่น

ถึงขนาดรัฐมนตรีที่เป็นสายของ “ผบ.สูงลิ่ว” ยังรักษาเก้าอี้เอาไว้ไม่ได้

ตรงนี้แปลว่านายกรัฐมนตรี “แข็ง” ขึ้นมาสักสองสามกระเบียด (ฮา)

หรืออีกนัยหนึ่งก็แปลว่า สถานการณ์หนักหนาสาหัสเสียจนกระทั่งต้องตัดสินใจกันชนิดเด็ดขาด

ก็ขอให้โชคดี

เพราะอันที่จริงแล้ว ปรับ ครม. ไม่ใช่คำตอบเบ็ดเสร็จหรือยาสามัญประจำบ้าน

กินปุ๊บแล้วจะได้หายปั๊บ

แต่เอาเข้าจริง จะให้ปรับ ครม. ได้ผล

ก็ต้องเป็นการเริ่มต้นของการคิดใหม่ทำใหม่

อะไรที่ไม่เข้าท่าเข้าทาง ต้องเลิกต้องล้มไป ไม่ต้องเสียดาย

อะไรที่ควรทำแล้วยังไม่ได้ทำ ต้องถกข้อทำแล้ว

ก่อนจะไม่มีโอกาสได้ทำ

ลำพังการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลไม่ใช่การแก้ปัญหา

แต่การเริ่มลงมือทำในสิ่งที่ถูกต้อง จะรื้อหรือจะสร้างอะไรต่างหาก

เป็นโจทย์ที่พึงสังวร

ยกตัวอย่างข่าวที่ “มติชนรายวัน” เขาเกาะมาเป็นสัปดาห์

เรื่องสองคุณครูที่อุ้มผาง ที่โรงเรียนรับบรรจุไปแล้ว สุดท้ายพื้นที่บอกว่าผิดระเบียบ ให้ปลดออก

เรื่องไปแดงในโซเชียลมีเดีย แล้วสื่อกระแสหลักจับมาเล่น

ทิพยอาสน์ของผู้บริหารส่วนกลางถึงได้กระด้างเป็นศิลาขึ้นมา

ในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง

สองคุณครูผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ได้รับการชดเชย ด้วยการกลับไปบรรจุใหม่

แต่เรื่องที่เกิดขึ้นสะท้อนอะไรอีกหลายอย่างให้เราๆ ท่านๆ ได้เห็น

เช่น ระบบอันอุ้ยอ้ายของกระทรวงศึกษาธิการนั้น ไม่น่าจะเหมาะกับสถานการณ์และความเปลี่ยนแปลงของสังคมอีกต่อไป

ถ้าปัญหาระดับจะบรรจุครู 2 คนหรือไม่ ต้องวิ่งขึ้นมาให้รัฐมนตรีว่าการจัดการ

อีกนัยหนึ่งก็แปลว่ากลไกทั้งหมดของกระทรวงศึกษาธิการนั้น

เป็นง่อย

ไหนจะปรับ ครม. กันทั้งที

เอางี้ไหมครับ

1. ยุบกระทรวงศึกษาฯ เสีย เลิกอำนาจบริหาร

ให้อำนาจโรงเรียน-ท้องถิ่นเขาจัดการตัวเอง

2. ถ้ากระทรวงศึกษาฯ ยังอยู่ ควรจะมีหน้าที่แค่

– กำหนดมาตรฐาน “เบื้องต้น” ของสถานศึกษาทั้งหลาย

– ประเมินการจัดการของโรงเรียน

เพื่อ

– จ่ายเงินอุดหนุนตามผลงาน

3. เปลี่ยนงานจากกำหนด-ควบคุม

มาเป็นส่งเสริม ให้ข้อมูล เผยแพร่ข่าวสาร ความรู้ (ของคนที่ทำดีให้ที่อื่นดู)

หรือขวนขวายไปหาความรู้-ข้อมูลจากข้างนอกมาบอกข้างใน

4. จะได้เลิกระบบรวมศูนย์ที่เทอะทะ

และระบบธุรการที่ยุ่งเหยิงและใหญ่โตกว่างานการศึกษาที่ควรจะเป็นหัวใจ

5. เปิดโอกาสท้องถิ่นพัฒนาตัวเอง

ด้วยการแข่งขันและการเปรียบเทียบ

ส่วนกลางเป็นคนเผยแพร่ข้อมูลให้รู้กันทั่วๆ บวกด้วยตัวเงินสนับสนุนตามผลงาน

6. สงสัยว่าแค่นี้ยังจะเยอะไปเลย

สำหรับกระทรวงไดโนเสาร์

7. สงสัยอีกว่าจ้างก็ไม่มีวันยอม

เพราะอำนาจนั้นมากับผลประโยชน์เสมอ

เนื้อก้อนใหญ่ในปากสุนัข

เคยเห็นสุนัขยอมคายหรือครับ

ไม่ใช่เฉพาะกระทรวงศึกษาฯ เท่านั้นหรอก