ของดีมีอยู่ : ทวิภพ ปี 2021 / ปราปต์ บุนปาน

ของดีมีอยู่

ปราปต์ บุนปาน

 

15 ตุลาคม 2564

เวลาเคลื่อนผ่านไปเรื่อยๆ จนเหลืออีกเพียงสองเดือนกว่าๆ ก็จะหมดปี 2564

เช่นเดียวกับความแตกแยกทางการเมืองที่ยังคงดำเนินไปไม่รู้จบ หรืออาจร้าวลึกยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนราวกับว่าผู้คนในสังคมการเมืองไทยกำลังแยกกันอยู่ในสองโลกหรือ “ทวิภพ”

เห็นได้ชัดจากทัศนะ-การมองโลก-การวิเคราะห์ปัญหาของบุคคลสองคนที่เกิดขึ้นห่างกันแค่ราวๆ 24 ชั่วโมง

โดยคนหนึ่งเป็นผู้นำประเทศ อีกคนเป็นนักเรียนมัธยมหญิงวัย 17 ปี

ดังจะขอคัดลอกคำพูด (บางส่วน) ของทั้งคู่มานำเสนอ ณ ที่นี้

 

“ภายหลังการตั้งเป้า 120 วัน เปิดประเทศโดยไม่ต้องกักตัว เมื่อกลางเดือนมิถุนายน เพียงไม่นานทั้งโลกต้องเจอกับการแพร่ระบาดที่รุนแรงของสายพันธุ์เดลตาที่ทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นสูงมากทั้งโลกในช่วงเดือนสิงหาคม เช่นเดียวกับในประเทศไทย ตอนนั้นหลายคนคงทำใจแล้วว่าเราไม่น่าจะสามารถเปิดประเทศโดยไม่ต้องกักตัวได้ภายในปีนี้

“ตอนนี้ แม้ว่าสถานการณ์ในหลายๆ ประเทศยังคงต่อสู้กับเดลตาอยู่ แต่การที่เรากำลังจะสามารถเริ่มเปิดให้เข้าประเทศไทยได้โดยไม่ต้องกักตัว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป การที่เราทำแบบนี้ได้ แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการที่คนไทยร่วมมือกัน ทำงานด้วยความมุ่งมั่น และเป็นหนึ่งเดียว

“ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข หน่วยงาน องค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงความร่วมมือกันของประชาชนคนไทยทุกคน

“ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ ประเทศไทยได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนสามารถภูมิใจได้กับการมีส่วนร่วมที่ทำให้ความสำเร็จนี้เกิดขึ้น และเกิดขึ้นถูกเวลา เพราะเป็นช่วงเวลาพร้อมๆ กับที่ประเทศอื่นเริ่มผ่อนคลายเงื่อนไขและข้อจำกัดในการเดินทางของประชาชนของเขาด้วยเหมือนกัน

“นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่เราจะเริ่มเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวให้เข้าประเทศไทยได้โดยไม่ต้องกักตัว

“ขอบคุณครับ”

(พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม)

 

“วันนี้ค่ะ ในฐานะเยาวชนคนหนึ่ง ที่หนูเห็นว่าประเทศเราจะดีขึ้นได้ ถ้าเรามีประชาธิปไตย

“ความขบถของหนูจะไม่มีวันสูญสิ้น (ผู้พูดเริ่มหยิบกรรไกรขึ้นมาตัดผมตัวเอง)

“วันนี้หนูจะขอแสดงความเสียใจกับคนที่จะต้องสูญเสียไป จากการบริหารอันห่วยแตกของรัฐบาล หนูจะขอยืนเคียงข้างกับคนที่ออกมาต่อสู้ เคียงข้างพวกเราทุกคน และหนูจะขอต่อต้านอำนาจที่มากดทับสิทธิในเนื้อตัวร่างกายพวกเรา

“นับตั้งแต่วันนี้ไป เยาวชนอายุ 17 คนนี้ จะขอประกาศว่าหนูจะขอโกนหัวจนกว่าประยุทธ์จะลาออก แล้วหนูก็อาจจะโกนต่อไป ถ้าเกิดว่าคนที่มาขึ้นใหม่เป็นเผด็จการ หากหนูจะต้องโกนหัวและไม่มีผมไปตลอดชีวิต ก็ขอให้มันเป็นสัญลักษณ์ว่าประเทศเราไม่เคยมีประชาธิปไตยเลย

“ผมของหนูอ่ะค่ะมันขึ้นใหม่ได้นะ

แต่ชีวิตคนที่เสียไปมันเอากลับคืนมาไม่ได้ รัฐบาลเฮงซวย

“ฝากถึงรัฐบาลนะคะ คุณต้องเจียมเนื้อเจียมตัวหน่อยแล้วนะ ที่ทำให้เยาวชนคนหนึ่งต้องออกมาโกนหัวต่อหน้าสาธารณชน

“แล้วก็มีข้อความหนึ่งที่อยากจะส่งถึงอาจารย์นะคะ คือหนูไม่ได้เปิดเผยเรื่องออกมาเคลื่อนไหวให้ใครที่โรงเรียนฟังหรอก แต่หนูคิดว่าหลายๆ ครั้ง อาจารย์ก็คงเห็นแหละว่าหนูออกมาเคลื่อนไหว ซึ่งหนูก็อยากจะบอกไปถึงอาจารย์นะ หลายๆ คนก็คงจะผิดหวังในตัวหนู ที่เห็นว่าหนูไม่ใช่คนเดิมแบบที่เขาเคยเห็น เพราะว่าหนูก็เคยเป็นเด็กที่ตั้งใจเรียนในสายตาเขา

“แต่ว่าตอนนี้น่ะค่ะ หนูอยากจะส่งเสียงไปถึงเขาว่า ‘มีมี่’ คนนี้ก็ยังเป็นคนเดียวกับที่ตั้งใจเรียนในห้อง คุยดีกับอาจารย์ ตั้งใจทำการบ้านส่ง ตั้งใจเรียนพิเศษ แต่ว่าจนวันหนึ่ง ที่ ‘มีมี่’ ได้เห็นโลกที่กว้างขึ้น ได้เห็นคนที่ไม่มีจะกิน ได้เห็นคนชายขอบทั้งหลาย ได้เห็นเพื่อนๆ ที่ถูกทอดทิ้ง ได้เห็นคนมากมายที่ถูกรัฐบาลเฮงซวย…

“หนูก็เลยขอบอกว่า หนูทนเรียนในห้องต่อไม่ไหวแล้วค่ะ แทนที่หนูจะยืนอยู่บนยอดพีระมิด เข้าจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ หนูขอเคียงข้างทุกคนที่นี่ดีกว่าค่ะ”

(น้องมีมี่ ปราศรัยพร้อมโกนศีรษะตนเองบนเวทีการชุมนุมของกลุ่มเฟมินิสต์ปลดแอกหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม)

 

คําถามทิ้งท้ายคือ

แล้ว “ลุงตู่” “น้องมีมี่” และพวกเราทุกคน

จะใช้ชีวิตอย่างไรกันต่อไปในสังคมแบบนี้?