ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 กรกฎาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
โบราณท่านว่า เวลาดวงตกหรือดวงแตกเนี่ย
ทำอะไรที่คิดว่าดี ผลสุดท้ายมักจะออกมาในทางตรงข้าม
ไม่เชื่อก็พิจารณาจากกรณีหอชมเมือง กฎหมายแรงงานต่างด้าว
หรือกรณีที่ กสทช. เชิญ 7 บริษัทที่ลงโฆษณาในสื่อดิจิตอลมากที่สุดไปพูดคุย เพื่อจะให้ลดการโฆษณาในกูเกิลหรือเฟซบุ๊กลง
รวมทั้งประกาศนโยบายว่า จะพยายามจัดเก็บภาษีจากผู้ประกอบการระดับโลกเหล่านี้ดูก็ได้
ปฏิกิริยาที่ตามมาในทันทีก็คือกูเกิลและเฟซบุ๊กส่งหนังสือชี้แจงกลับมาถึง กสทช.
ว่าไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้
เพราะจะเป็นนโยบายที่ทำให้การพัฒนาและการลงทุนด้านดิจิตอลในเมืองไทยยิ่งลำบากลำบนไปกว่าเดิม
ปฏิกิริยาตอบสนองต่อปฏิกิริยาจาก กสทช. ก็คือ บอกว่า
ไม่ให้ราคาองค์กรที่เป็นสมาคมร่วมของกูเกิลและเฟซบุ๊ก
เจตนาดีที่อาจจะไม่ค่อยถูกกาลเทศะ และไม่ประเมินกำลังตัวเองนี้
จะส่งผลอย่างไรต่อไป-โปรดติดตาม
จริงอยู่
กูเกิลและเฟซบุ๊กมีส่วนแบ่งการตลาดจากเม็ดเงินโฆษณาในสื่อดิจิตอลประมาณร้อยละ 80
นี่เป็นตัวเลขใกล้เคียงกันทั้งของไทยและค่าเฉลี่ยทั้งโลก
รายได้จำนวนนี้ไม่รู้ว่าเสียภาษีให้ใคร
หรืออาจไม่เสียภาษีเลย
เพราะทั้งกูเกิล-เฟซบุ๊กมีการจัดตั้งบริษัทที่ซับซ้อน
ใช้ประโยชน์จากสวรรค์ของนักเลี่ยงภาษีอย่างไอร์แลนด์ และประเทศหมู่เกาะในอเมริกากลางอย่างเต็มที่
จนแม้แต่รัฐบาลสหรัฐยังเคยโวย
เพราะเก็บภาษีเฟซบุ๊กได้ไม่เต็มมือ
เลยมีคำถามว่า
ถ้ารัฐบาลสหรัฐที่เป็นยักษ์ใหญ่ของโลกยังทำไม่ได้
กสทช. หรือรัฐบาลไทย มีปัญญาเก็บภาษีรายได้จากโฆษณาของกูเกิล-เฟซบุ๊กได้ไหม
ถ้าทำได้นี่ต้องถือว่าเป็นนวัตกรรมระดับโลกเลยนะครับ
ต่อไปแทนที่จะต้องเสียเงินเสียทองไปดูงานบ้านเขา
เผลอๆ ทุกประเทศทั่วโลกอาจจะต้องขอมาดูงานบ้านเรา
ทำเป็นเล่นไป-ฮา
แต่อย่างที่เรียนว่า เข้าใจอยู่ว่านี่เป็นเจตนาดีครับ
เพียงแต่เจตนาดีต้องมีวิธีการที่ถูก ซึ่งสามารถทำให้บรรลุเป้าหมายได้ด้วย
เช่น ถ้าลำพังไม่มีอำนาจจะไปจัดการกับยักษ์ใหญ่ระดับโลกได้
(เพราะอีกด้านหนึ่งก็กลัวว่าเดี๋ยวเขาจะไม่มาลงทุน หรือไม่ทำธุรกิจในเมืองไทย จะยิ่งเสียหายหนักกว่าเก่า)
ทำไมไม่ร่วมมือกับหน่วยงานประเภทเดียวกันในประเทศอื่น
หารือกันก่อนว่าจะเอาอย่างไร
หรือถ้าจะเล่นงานเขาด้วยเรื่องภาษี
ทำไมไม่ให้หน่วยงานจัดเก็บภาษีลุกขึ้นมาเป็นหัวหอกเสียเอง
เพราะรัฐบาลหรือหน่วยงานเก็บภาษีของประเทศอื่น เขาก็คงไม่ได้คิดต่างจากท่านเท่าไหร่
และมองเค้กก้อนนี้ตาเป็นมันอยู่
ไม้ซีกน่ะงัดไม้ซุงไม่ได้
แต่หลายๆ ไม้ซีกมัดรวมกันน่ะไม่แน่นะครับ
และจริงๆ วิธีที่จะทำให้ได้รายได้ของรัฐเพิ่มขึ้น (ถ้าต้องการอย่างนั้นจริงๆ)
โดยไม่กระทบกับภาพลักษณ์ของรัฐ ว่าจำกัดเสรีภาพของผู้ประกอบการในโลกยุคใหม่
หรือไม่ทำให้ทุนต่างประเทศที่ท่านอยากได้กันหนักหนาถอยไป หรือไม่ยอมมาลงทุนในเมืองไทย
ก็คือ รัฐ-จะโดย กสทช. หรือใครก็ได้ เข้ามาผลักดันให้ผู้ประกอบการในประเทศพัฒนาเนื้อหา เทคโนโลยีให้ไล่ทันต่างประเทศ
ถ้าผู้ประกอบการในประเทศแข็งแรงขึ้น ไม่ว่าจะในแง่
1. พัฒนาแพลตฟอร์มของตัวเองขึ้นมาได้
2. อยู่ในแพลตฟอร์มของยักษ์ใหญ่ต่างประเทศ แต่มีอำนาจต่อรอง หรือมีช่องทางหารายได้มากขึ้น
จนกระทั่งเป็นตัวของตัวเอง หรือต่อรองแบบพอฟัดพอเหวี่ยงกับยักษ์ใหญ่ระดับโลกได้
รัฐก็จะมีรายได้ภาษีและอื่นๆ มากขึ้นตามไปด้วย
ที่แน่ๆ คือ มากกว่ามาตรการจำกัดกั้นแบบนี้เป็นไหนๆ
โลกนี้หมุนไปทุกวันด้วยอัตราเร่งที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าอยากอยู่กับโลก ก็ต้องหมุนตามให้ทัน หรือหมุนเร็วกว่า
ที่อยากจะหยุดโลกนั้น เป็นไปไม่ได้แน่นอนครับ
เอามือไปรั้ง ก็มือด้วน
หรือไม่ก็ตกขบวนประวัติศาสตร์ไปเลย
เลือกเอาเถิด