ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 พฤศจิกายน 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
ผู้เขียน | ฐากูร บุนปาน |
เผยแพร่ |
ไม่ใช่จินตนาการทางวิทยาศาสตร์หรือนิยายแฟนซีที่ไหน
แต่จักรวาลนี้มี “โลกคู่ขนาน” อยู่จริง
ตัวอย่างอยู่ตรงหน้าเราๆ ท่านๆ ในสังคมไทยนี่เองล่ะครับ
เมื่อ 47 วุฒิสมาชิก ร่วมกับ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐอีก 25 คน เข้าชื่อกันยื่นหนังสือผ่านประธานรัฐสภา
เพื่อส่งให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตีความร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 256
แปลไทยเป็นไทยง่ายๆ ก็คือ ลากถ่วงกระบวนการในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ให้ยืดเยื้อยืดยาวออกไปอีก
เมื่อ 250 ส.ว.แต่งตั้งขึ้นมาโดยสมาชิกของ คสช. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวขบวน
เมื่อพรรคพลังประชารัฐมี พล.อ.ประวิตรก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคอย่างผ่าเผย
และมีแนวทางว่าสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู
จะให้ใครทำใจเชื่อได้ว่า ผู้นำการเมืองทั้งสองคนไม่มีส่วนรู้เห็นกับการเคลื่อนไหวที่จะพิทักษ์รัฐธรรมนูญซึ่ง “ดีไซน์มาเพื่อเรา” ฉบับนี้
เมื่อรัฐธรรมนูญอันเป็นประตูด่านแรกสุด และเป็นช่องทางในการระบายพวยพุ่งของแรงกดดันทางการเมืองได้ดีที่สุด ยังไม่ได้รับการตอบสนอง ยังไม่ได้รับการปรับปรุงแก้ไข
ก็ป่วยการที่จะพูดถึงข้อเสนออื่นของเยาวชนและประชาชน
ที่ออกมาเคลื่อนไหวกันอย่างคึกคักกันอยู่ในเวลานี้
กระบวนท่าตีรวน-เตะถ่วงนั้นแสดงออกถึงความไม่ยินดีที่จะเจรจา หรือหาช่องทางออกจากวิกฤต-การเผชิญหน้าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
สะท้อนถึงความเชื่อ และอนาคตของสังคมที่มองจากสายตาอันแตกต่าง
ประเด็นก็คือ ถ้ามีเห็นเหมือนกันบ้าง เห็นต่างกันบ้าง
ก็อาจจะมีจุดให้พูดคุยสื่อสารกันรู้เรื่อง (บ้าง)
แต่ถ้าเห็นต่างถึงขนาดคนละโลก หรือเป็นจักรวาลคู่ขนานกันขนาดนี้
โอกาสที่จะหาจุดร่วม โอกาสที่จะแสวงหาทางออกซึ่งเป็นที่ยอมรับร่วมกัน
ก็แทบจะไม่มีเหลืออยู่เลย
และเมื่อช่องทางของการเจรจา ช่องทางของสภา (ที่โดยหลักการควรจะเป็นตัวแทนประชาชน) ตีบตันใช้การไม่ได้
ก็เท่ากับยิ่งผลักไสให้อีกฝ่ายต้องใช้ท้องถนนเป็นพื้นที่ชุมนุมเรียกร้อง เป็นพื้นที่ในการแสดงออก
มากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
โชคดีมากๆ อย่างหนึ่งของสังคมไทยในปัจจุบันก็คือ
น้องนุ่งลูกหลานที่ออกมาเคลื่อนไหวนั้น ยึดกุมแนวทางสันติวิธีเอาไว้อย่างมั่นคง
แต่ก็อย่าประมาทไป
โดยธรรมชาติของการเผชิญหน้า ยิ่งบ่อยครั้งขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งแนวหน้าขยายกว้างมากขึ้นเท่าไหร่
โอกาสที่จะเกิด “อุบัติเหตุ” ไม่ว่าจากน้ำผึ้งหยดเดียวหรือหลายหยด
ยังมีความเป็นไปได้สูงอยู่
ยิ่งกับรัฐราชการที่มีทัศนคติ “เหยียด” ชาวบ้านลงไปเป็นพลเมืองอีกชั้นหนึ่ง
ยิ่งกับเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบทั้งตำรวจทหาร ที่หลายปีที่ผ่านมาได้รับการปรนเปรอเครื่องไม้เครื่องมืออย่างเต็มพิกัด
จนบางคนบางส่วนแสดงความกระเหี้ยนกระหือรือ อยากจะทดลอง “แสนยานุภาพ” นั้นให้ปรากฏ
อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น
ในภาวะที่ต่างฝ่ายต่าง “ยัน” กันอยู่ ไม่มีใครเอาชนะใครได้อย่างเด็ดขาด (ซึ่งไม่เคยมีจริงในโลก)
การเผชิญหน้าระหว่างเยาวชน-ประชาชนฝ่ายหนึ่ง กับรัฐบาลและกลุ่มผู้ได้รับอานิสงส์จากอำนาจและผลประโยชน์อีกฝ่ายหนึ่ง
ก็คงยังดำเนินต่อไปเช่นนี้อีกพักใหญ่
จนกว่า
– ผู้มีอำนาจผู้ถืออาวุธสติหลุด หมดความอดทน
– สังคมส่วนใหญ่เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งอย่างชัดเจน
หรือ
– เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างอำนาจส่วนบน ที่เห็นว่า “อำนาจนำ” หมดความศักดิ์สิทธิ์น่าเชื่อถือ
ฯลฯ
ซึ่งเดาได้ยากว่าจะออกรูปไหน-เพราะถ้ารู้ก็คงไปหากินเป็นหมอดูไปแล้ว
รู้อยู่แต่ว่าตามกฎไตรลักษณ์ว่าด้วยการเกิดเสื่อมดับ
อะไรที่ไม่เที่ยง ตั้งอยู่ไม่ได้
ก็ต้องเปลี่ยนแปลงด้วยกันทั้งนั้น
ยังไม่เห็นอะไรล่วงพ้นความเป็นจริงง่ายๆ นี้ไปได้