ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 สิงหาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
หลังจากรอมาเป็นเวลาร่วมเดือน ในที่สุดก็มีการประกาศชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
ที่เข้ามาแทนทีมงานของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่กอดคอกันลาออกไป เพราะพ่ายเกมการเมืองในพรรคพลังประชารัฐด้วยกันเอง
ขออนุญาตตัดเรื่องการเมืองเอาไว้ไม่พูดถึง
เพราะวันนี้เรื่องเนื้อๆ เน้นๆ ที่เป็นปัญหาจริงๆ คือการจัดการกับวิกฤตเศรษฐกิจและปากท้องที่จังก้าอยู่ตรงหน้า
ในฐานะที่พอจะรู้จักมักคุ้นและติดตามการทำงานของรัฐมนตรีใหม่ถอดด้าม คือ คุณสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ที่รับตำแหน่งรองนายกฯ และ รมว.พลังงาน และคุณปรีดี ดาวฉาย ที่รับตำแหน่ง รมว.คลังอยู่บ้าง
ก็แอบมีความหวังขึ้นมาว่า เมื่อได้คนที่เคย “ทำงานจริง-ทำงานใหญ่” ผ่านมาแล้วทั้งการเป็นผู้ปฏิบัติและคนกำหนดนโยบายขององค์กร
การขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวของนโยบายเศรษฐกิจจะเป็นไปอย่างกระฉับกระเฉง และ “ตรงเป้า” ยิ่งขึ้น
ความไม่ลับที่พอจะเปิดเผยได้บ้างในวันนี้ก็คือ
คุณสุพัฒนพงษ์นั้นเป็นหนึ่งในคณะที่ปรึกษาที่ร่วมทั้งผลักทั้งดัน ให้ข้อมูล ให้ความเห็น จนกระทั่งรัฐบาล (ที่ขณะนั้นยังยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกักอยู่) ตัดสินใจออกพระราชกำหนดเงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท
แต่ก็เหมือนนโยบายดีๆ อีกหลายอย่างในสังคมไทย
คือพอแปรแนวคิดไปสู่การปฏิบัติของข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ ก็มักจะต้องมีอุปสรรคอันเนื่องมาจากกฎระเบียบบ้าง ความเคยชินบ้าง
ทำให้นโยบายนั้นไม่เคยสัมฤทธิผลเต็มร้อยอย่างที่ต้องการ
วันนี้เมื่อคนที่เคยผลักดันนโยบายและแนวทางมานั่งคุมเอง แทนที่จะเป็นผู้เสนอแล้วนั่งดูห่างๆ อย่างที่ผ่านมา
ก็หวังว่าเนื้องานที่หวังว่าจะประคับประคองคนตกทุกข์ได้ยาก และธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อม ที่เป็นเป้าหมายหลักของนโยบาย
จะเดินหน้าไปได้ราบรื่นกว่าเดิม
ส่วนคุณปรีดีนั้น จัดเป็นประเภทอ่อนนอกแข็งใน
เป็นมือประสานได้รอบทิศ ตั้งแต่อยู่ธนาคารกสิกรไทย มาจนเป็นประธานสมาคมธนาคาร
และด้วยตำแหน่งแห่งหนผลักและดันให้เข้าไปอยู่ในแวดวงการเมือง ทั้งเป็น สนช.
ถึงไม่ตั้งใจจะมาเป็นนักการเมือง แต่เมื่อคลุกคลีกับการเมืองอยู่หลายปี
ความเข้าอกเข้าใจในเครือข่าย เส้นสาย วิธีคิด และวิธีการทำงานที่แตกต่างไปจากสายธุรกิจที่คุ้นเคยมาแต่อ้อนแต่ออก
ก็น่าจะช่วยให้ภารกิจในฐานะรัฐมนตรีคลัง ที่เป็นด่านหน้าสุดของวิกฤตครั้งนี้
พอผ่อนหนักเป็นเบาลงไปได้บ้าง (กระมัง?)
แต่มหาวิกฤตขนาดนี้ เหลือกำลัง เหลือมือที่คนสองคนหรือไม่กี่คนจะรับมือได้
ให้ร่วมแรงร่วมใจกันทั้งรัฐบาล ทำงานประสานกันเป็นหนึ่งเดียว
ยังมีคำถามอยู่เลยว่า แล้วปัจจัยอื่น ทั้งโลกภายนอกและสังคมภายใน จะเป็นใจเอื้อให้งานสำเร็จลุล่วงตามที่ต้องการได้หรือไม่
อย่างที่เปลี่ยนตัวพร้อมกันมารอบนี้คือรัฐมนตรีแรงงาน
จากรัฐมนตรีที่เคยเป็นข้าราชการทั้งชีวิต มาเป็นรัฐมนตรีที่มาจากนักการเมือง
ถามว่าคนหลังจะใช้ความเป็นนักการเมืองที่ควรจะใกล้ชิด สนิทสนม รู้ปัญหาปากท้องของชาวบ้านมากกว่า เข้ามาแก้ไขปัญหาให้ฉับไว-ตรงเป้ามากขึ้นหรือไม่
ในเมื่อปัจจัยหนึ่งในวิกฤตครั้งนี้คือปัญหาการว่างงาน
งานที่ท่านต้องรับผิดชอบโดยตรง
ถึงจะเป็น “ปลายน้ำ” ก็ต้องเตรียมตัวทำการบ้านมาให้ครบและให้ดี
ท่านมีหรือยัง?
และสำคัญที่สุดของทั้งหมดก็ยังเป็น “หัว” อยู่ดี
นายกรัฐมนตรีผู้ประกาศตัวเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจนั้น “ทุ่ม” แค่ไหน พร้อมจะ “เสี่ยง” ขนาดไหน
และกล้าแค่ไหน ถ้าจะต้อง “ง้าง” กับผลประโยชน์ของกลุ่มก้อนที่จะเป็นอุปสรรคต่อนโยบาย
ทั้งหมดนี้ พิสูจน์ไม่ได้ด้วยคำพูด
แต่รอการกระทำยืนยัน
และต้องเกิดขึ้นในเวลาอันไม่ช้าด้วย