ฐากูร บุนปาน | ถึงเวลาที่อุณหภูมิถึงจุด ใครจะไปรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นได้บ้าง

นาทีนี้เชื่อว่ารัฐบาลคงรับรู้ “ความรู้สึกร่วม” ของสังคมไทย

ต่อกรณีล่าสุดที่มีการปล่อยให้ชาวต่างประเทศอย่างน้อยสองคน หลุดลอดเครือข่ายการตรวจป้องกันเชื้อโควิด-19 เข้ามาในสังคมไทย

ถามว่าทั้งสองกรณีนี้เลวร้ายขนาดไหน

เอาเข้าจริงก็ตอบได้ว่าเป็นไปได้ทั้งสองแง่

คืออาจจะไม่เกิดอะไร เพราะการแพร่กระจายอาจจะไม่มาก (เนื่องจากคนในประเทศยัง “การ์ดสูง” อยู่เป็นส่วนใหญ่)

หรือถึงกระจายไปสักหลักสิบหลักร้อย ระบบสาธารณสุขไทยก็ยังรับมือไหว

เพราะจำนวนผู้ป่วยในการดูแล

ยังอยู่ในระดับ “เอาอยู่”

แต่ถ้าจะมีอะไรสะทกสะเทือนในทางลบ (ตั้งแต่ลบน้อยไปถึงลบมาก)

ก็เห็นจะเป็นเรื่องของอารมณ์ที่คุกรุ่นไม่พอใจ

ด้วยปัจจัยหลักสองประการใหญ่ๆ

หนึ่งคือ การกระหน่ำประโคมพิษภัยของโควิด-19 อย่างไม่ขาดสาย

ไม่ว่าจะในช่วงที่โรคระบาดรุนแรง หรือซาลงแล้ว

การกรอกหูแต่ด้านลบสุดๆ ทำให้เกิด “เงามืด” ในใจของคนจำนวนไม่น้อย

ฉะนั้น เมื่อมีอะไรไปแตะเอา “จุดเปราะบาง” นี้

อารมณ์ที่ว่าก็ปะทุขึ้นมาทันที

อีกหนึ่งคือ ความรู้สึกเรื่อง “สองมาตรฐาน”

เพราะในขณะที่คุณหมอตัวแทนของรัฐบาลยิงหมัดชุดอยู่ทุกวันว่า “การ์ดอย่าตก”

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนว่า ที่การ์ดตกนั้นกลายเป็นรัฐบาลเสียเอง

การ์ดที่ลดลงมานั้น เปิดช่องให้กับ “อภิสิทธิ์ชน” ไม่ว่าจะจากในหรือต่างประเทศ

ในขณะที่คนส่วนใหญ่ยังถูกให้จำกัดอยู่ในกติกาที่เข้มงวด

แม้กระทั่งการทำมาหากินยังติดขัดฝืดเคืองไปด้วย

แต่คนบางกลุ่มกลับได้รับสิทธิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง ความเป็นอยู่ การสรวลเสเฮฮา

แล้วพอดาหน้ากันมาแก้ตัว ก็กลายเป็นมั่วซั่ว

เพราะบางคนโทษระบบ บางคนโทษพฤติกรรมส่วนตัวของอภิสิทธิ์ชนนั้น

แถมไม่รับรู้อารมณ์ความรู้สึกคนอีกด้วย

ว่าที่มาที่ไปของเรื่องเกิดขึ้นเพราะอะไร

เดี๋ยวสุดท้ายจะกลายเป็นพวก “คอแข็ง”

แค่ “ขอโทษ” ก็ยังพูดไม่ได้

ยิ่งเหมือนสาดน้ำมันเข้ากองไฟ

โชคดีที่รู้ตัวเร็ว

แต่เรื่องนี้จะมีกรณี “โชคช่วย” อยู่อย่างเดียว

ก็คือทั้งสองสามกรณีที่ว่ามานี้ ไม่ก่อให้เกิดการระบาดใหญ่ขึ้นมา (อย่างที่เที่ยวขู่คนอื่นเอาไว้)

แล้วเรื่องจะค่อยๆ ซาไป มีเรื่องใหญ่เรื่องใหม่เรื่องอื่นมากลบไปเอง

แต่ถึงกระนั้นก็ควรเป็นบทเรียนให้รัฐบาล-ผู้มีอำนาจ (และที่คิดว่าตัวเองมีอำนาจทั้งหลาย) เก็บเอาไปคิดพิจารณา

และดีที่สุดก็คือทบทวนตัวเอง ทบทวนมาตรการ ทบทวนท่าที

ว่าที่ผ่านมา มีอะไรเป็นจุดอ่อน ข้อบกพร่อง อะไรจะต้องปรับปรุงแก้ไข

อย่าเผลอไปดื้อตาใส ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนนะครับ

ถึงขนาดทำให้คนแทบทุกระดับเกิดอารมณ์ร่วมขึ้นมาขนาดนี้ได้

นี่ไม่ใช่ธรรมดา

จริงอยู่ว่าความไม่พอใจเรื่องเดียวหรือไม่กี่เรื่องนั้น อาจจะไม่ทำให้รัฐบาลสะดุ้งสะเทือนอะไร

แต่ถ้าขยันทำไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้รู้สึกสำนึก หรือไม่เคยฟังนิทานเรื่อง “กบต้ม”

ถึงเวลาที่น้ำร้อนได้รับอุณหภูมิถึงจุด

ใครจะไปรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นได้บ้าง

แล้วนี่ก็ย่างเข้าไตรมาส 3 ช่วงเวลาของการชี้เป็นชี้ตายทางเศรษฐกิจ

ขยับไม่ผิดยังอยู่ยาก

ถ้าหากเอาเรื่องอื่นเข้ามาสุมเพิ่มอีก

ยังนึกไม่ออกหรอกครับว่า อะไรจะเกิดขึ้นได้บ้าง

แต่แค่เห็นก็เหนื่อยแทนแล้ว