ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 กรกฎาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
นาทีนี้เชื่อว่ารัฐบาลคงรับรู้ “ความรู้สึกร่วม” ของสังคมไทย
ต่อกรณีล่าสุดที่มีการปล่อยให้ชาวต่างประเทศอย่างน้อยสองคน หลุดลอดเครือข่ายการตรวจป้องกันเชื้อโควิด-19 เข้ามาในสังคมไทย
ถามว่าทั้งสองกรณีนี้เลวร้ายขนาดไหน
เอาเข้าจริงก็ตอบได้ว่าเป็นไปได้ทั้งสองแง่
คืออาจจะไม่เกิดอะไร เพราะการแพร่กระจายอาจจะไม่มาก (เนื่องจากคนในประเทศยัง “การ์ดสูง” อยู่เป็นส่วนใหญ่)
หรือถึงกระจายไปสักหลักสิบหลักร้อย ระบบสาธารณสุขไทยก็ยังรับมือไหว
เพราะจำนวนผู้ป่วยในการดูแล
ยังอยู่ในระดับ “เอาอยู่”
แต่ถ้าจะมีอะไรสะทกสะเทือนในทางลบ (ตั้งแต่ลบน้อยไปถึงลบมาก)
ก็เห็นจะเป็นเรื่องของอารมณ์ที่คุกรุ่นไม่พอใจ
ด้วยปัจจัยหลักสองประการใหญ่ๆ
หนึ่งคือ การกระหน่ำประโคมพิษภัยของโควิด-19 อย่างไม่ขาดสาย
ไม่ว่าจะในช่วงที่โรคระบาดรุนแรง หรือซาลงแล้ว
การกรอกหูแต่ด้านลบสุดๆ ทำให้เกิด “เงามืด” ในใจของคนจำนวนไม่น้อย
ฉะนั้น เมื่อมีอะไรไปแตะเอา “จุดเปราะบาง” นี้
อารมณ์ที่ว่าก็ปะทุขึ้นมาทันที
อีกหนึ่งคือ ความรู้สึกเรื่อง “สองมาตรฐาน”
เพราะในขณะที่คุณหมอตัวแทนของรัฐบาลยิงหมัดชุดอยู่ทุกวันว่า “การ์ดอย่าตก”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนว่า ที่การ์ดตกนั้นกลายเป็นรัฐบาลเสียเอง
การ์ดที่ลดลงมานั้น เปิดช่องให้กับ “อภิสิทธิ์ชน” ไม่ว่าจะจากในหรือต่างประเทศ
ในขณะที่คนส่วนใหญ่ยังถูกให้จำกัดอยู่ในกติกาที่เข้มงวด
แม้กระทั่งการทำมาหากินยังติดขัดฝืดเคืองไปด้วย
แต่คนบางกลุ่มกลับได้รับสิทธิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง ความเป็นอยู่ การสรวลเสเฮฮา
แล้วพอดาหน้ากันมาแก้ตัว ก็กลายเป็นมั่วซั่ว
เพราะบางคนโทษระบบ บางคนโทษพฤติกรรมส่วนตัวของอภิสิทธิ์ชนนั้น
แถมไม่รับรู้อารมณ์ความรู้สึกคนอีกด้วย
ว่าที่มาที่ไปของเรื่องเกิดขึ้นเพราะอะไร
เดี๋ยวสุดท้ายจะกลายเป็นพวก “คอแข็ง”
แค่ “ขอโทษ” ก็ยังพูดไม่ได้
ยิ่งเหมือนสาดน้ำมันเข้ากองไฟ
โชคดีที่รู้ตัวเร็ว
แต่เรื่องนี้จะมีกรณี “โชคช่วย” อยู่อย่างเดียว
ก็คือทั้งสองสามกรณีที่ว่ามานี้ ไม่ก่อให้เกิดการระบาดใหญ่ขึ้นมา (อย่างที่เที่ยวขู่คนอื่นเอาไว้)
แล้วเรื่องจะค่อยๆ ซาไป มีเรื่องใหญ่เรื่องใหม่เรื่องอื่นมากลบไปเอง
แต่ถึงกระนั้นก็ควรเป็นบทเรียนให้รัฐบาล-ผู้มีอำนาจ (และที่คิดว่าตัวเองมีอำนาจทั้งหลาย) เก็บเอาไปคิดพิจารณา
และดีที่สุดก็คือทบทวนตัวเอง ทบทวนมาตรการ ทบทวนท่าที
ว่าที่ผ่านมา มีอะไรเป็นจุดอ่อน ข้อบกพร่อง อะไรจะต้องปรับปรุงแก้ไข
อย่าเผลอไปดื้อตาใส ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนนะครับ
ถึงขนาดทำให้คนแทบทุกระดับเกิดอารมณ์ร่วมขึ้นมาขนาดนี้ได้
นี่ไม่ใช่ธรรมดา
จริงอยู่ว่าความไม่พอใจเรื่องเดียวหรือไม่กี่เรื่องนั้น อาจจะไม่ทำให้รัฐบาลสะดุ้งสะเทือนอะไร
แต่ถ้าขยันทำไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้รู้สึกสำนึก หรือไม่เคยฟังนิทานเรื่อง “กบต้ม”
ถึงเวลาที่น้ำร้อนได้รับอุณหภูมิถึงจุด
ใครจะไปรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นได้บ้าง
แล้วนี่ก็ย่างเข้าไตรมาส 3 ช่วงเวลาของการชี้เป็นชี้ตายทางเศรษฐกิจ
ขยับไม่ผิดยังอยู่ยาก
ถ้าหากเอาเรื่องอื่นเข้ามาสุมเพิ่มอีก
ยังนึกไม่ออกหรอกครับว่า อะไรจะเกิดขึ้นได้บ้าง
แต่แค่เห็นก็เหนื่อยแทนแล้ว