ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 เมษายน 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
อย่าเพิ่งรีบ “ลดการ์ด” หรืออย่างเพิ่ง “ตีปีก” กันเร็วนักนะครับ
หลังจากตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในไทยเริ่มลดมาได้ 4-5 วัน
ก็เริ่มมีเสียง (ของกองเชียร์ลุง) แซ่ซ้องประสานขึ้นมาทันทีว่า เรากำลังจะพ้นวิกฤตกันแล้ว
ท่านทั้งหลายกำลัง “ประมาท” สถานการณ์ไปหรือเปล่า
โดยเฉพาะกับวิกฤตเศรษฐกิจ
เริ่มจากปัจจัยในประเทศ
ต่อให้เราสามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ชนิด “เอาอยู่” ได้ภายในสิ้นเดือนนี้
ก็ไม่ได้หมายความว่าวิกฤตเศรษฐกิจที่ซ้อนทับอยู่ จะสลายตัวไปด้วยในทันที
ไม่ว่าจะภาคการท่องเที่ยวทั้งสายการบิน โรงแรม ภัตตาคาร และซัพพลายเชน
ภาคการส่งออก (เพราะข้างนอกยังไม่ฟื้น)
ภาคการบริโภคในประเทศ ทั้งร้านอาหาร ร้านค้าเล็กร้านค้าน้อย เอสเอ็มอีที่เน้นตลาดภายใน
ทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 3-6 เดือนถึงจะกลับมาตั้งหลักได้
แต่ตั้งหลักด้วยนะครับ ยังไม่เป็นปกติเลย
นี่ยังไม่นับว่า มาตรการช่วยเหลือเยียวยาของรัฐ
ไม่ว่าจะกับคนตกงาน หรือกิจการที่ยังไม่ล้ม (แต่ยังประคองพนักงานเอาไว้ แม้ในภาวะซวนเซ)
ที่ทำท่าว่าจะไม่ทั่วถึง
และยังตั้งท่าว่าจะเริ่ม “กั๊ก” อีกด้วย
(อย่างกรณีประกันสังคมที่ทั้งดึงทั้งยื้อการจ่ายเงิน ไปถึงการให้สัมภาษณ์แบบยืดๆ หดๆ ของกระทรวงการคลัง ว่าจะช่วยคนตกงานแล้ว 3 เดือนก่อน เดี๋ยวค่อยมาว่ากันอีกที ทั้งที่ตอนขออนุมัติเงิน โฆษณาเสียใหญ่โต ว่าจะประคองคนในประเทศนี้อย่างน้อย 6 เดือน)
ช่วยก็ไม่เต็มหมัด
มาตรการฟื้นฟูก็ไม่ชัด
คิดหรือครับว่าจะกระโดดออกจากหลุมดำไปได้ง่ายๆ
ฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ประเมินว่า
กว่าเศรษฐกิจจะฟื้นก็โน่นครับ
ปี 2565 หรืออีก 2 ปีข้างหน้า
โดย 2563-2564 คือช่วงตกท้องช้างของตัว U
อาจจะเป็นการมองโลกในแง่ร้าย (หรือมองตามความเป็นจริงหว่า?) ไปสักนิด
แต่ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ท่านอบรมสั่งสอนมา
ท่านบอกว่า เวลาเผชิญหน้ากับปัญหาหรือวิกฤต
ให้คิดและเตรียมการตั้งรับภาวะที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อน
ถ้าเลวที่สุดจริง จะได้ไม่ตระหนกตกใจ
แต่ถ้าไม่ ก็ถือว่าเป็นกำไร
ท่านไม่เคยสอนให้ประเมินสถานการณ์ต่ำกว่าความเป็นจริงเลย
แต่เอาละ สมมุติ (อย่างฟลุกที่สุด) ว่าไทยหลุดจากวิกฤตทั้งโรคระบาด
และเริ่มตั้งตัวในทางเศรษฐกิจได้จริง
โลกเขาก็ไม่ได้ฟื้นไปด้วย
อย่างที่เรียนมาข้างต้น
โลกไม่ฟื้น การท่องเที่ยว-การส่งออกที่สร้างรายได้รวมร้อยละ 70 ของจีดีพี ก็ยังไม่กลับฟื้นคืนมา
คริสติน ลาการ์ด กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ เพิ่งแถลงใหญ่ว่า
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของโลกครั้งนี้ วิกฤตที่สุดนับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression) เมื่อปี 1929-1935
ครั้งนั้นส่งผลมาถึงเมืองไทย จนเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการอภิวัฒน์ 2475 ด้วย
จีนที่ทำท่าจะเริ่มตั้งหลักได้
แต่นโยบายที่รัฐบาลของเขาจะดำเนินการ (เหมือนกับทุกรัฐบาลจากนี้ไป) ก็คือกระตุ้นการบริโภคในประเทศ (ซึ่งเขาทำได้ เพราะตลาดภายในใหญ่มหาศาล)
การส่งออก-นำเข้า ที่มีสัดส่วนไม่ถึงร้อยละ 20 ของจีดีพีนั้นรอได้
หรือถึงอยากจะเข็น
ก็เข็นไม่ขึ้น
ถ้าตลาดหลักอย่างสหรัฐและยุโรปยังสะบักสะบอมอยู่อย่างนี้
เศรษฐกิจสหรัฐดิ่งลงมาสองไตรมาสซ้อนๆ แล้วตั้งแต่ก่อนประสบกับวิกฤตโรคระบาด
เมื่อเจอโควิด-19 เข้ามาซ้ำ เจพีมอร์แกน บริษัทวาณิชธนกิจใหญ่ของสหรัฐคาดว่า
จีดีพีสหรัฐอาจจะลดลงไปได้ถึงร้อยละ 40
และจะมีคนตกงานถึงร้อยละ 20 ของตลาดแรงงาน
หรือประมาณ 25 ล้านคน
เพราะพิษโควิด-19 ร้ายกว่าที่ประเมินเอาไว้มาก
วันนี้ถึงจะมีผู้ติดเชื้อเกินครึ่งล้าน มีผู้เสียชีวิตกว่า 23,000 คน
แต่ยังไม่ถึง “พีก”
เพราะเขาประเมินกันว่าคนติดเชื้อในสหรัฐนั้นน่าจะมากกว่า 1 ล้านคน
ส่วนผู้เสียชีวิตจะไม่ต่ำกว่า 60,000 คน
ซึ่งก็มีแนวโน้มเป็นไปได้
เพราะตอนนี้โรคที่ระบาดหนักอยู่ตามมหานครริมสองฝั่งมหาสมุทร
เริ่มระบาดเข้าไปสู่ตอนกลางของประเทศ
ที่มี “กลุ่มเสี่ยง” (คือชราและยากจน) มากกว่าแล้ว
ถ้าสหรัฐ ในฐานะ “ประเทศผู้บริโภคอันดับหนึ่งของโลก” ยังไม่ฟื้น
คิดหรือว่าโลกจะฟื้น-เราจะฟื้นขึ้นมาแบบปาฏิหาริย์
ตั้งการ์ดให้สูงเข้าไว้ครับ
โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ-ปากท้อง