ฐากูร บุนปาน | ตั้งการ์ดให้สูงเข้าไว้

อย่าเพิ่งรีบ “ลดการ์ด” หรืออย่างเพิ่ง “ตีปีก” กันเร็วนักนะครับ

หลังจากตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในไทยเริ่มลดมาได้ 4-5 วัน

ก็เริ่มมีเสียง (ของกองเชียร์ลุง) แซ่ซ้องประสานขึ้นมาทันทีว่า เรากำลังจะพ้นวิกฤตกันแล้ว

ท่านทั้งหลายกำลัง “ประมาท” สถานการณ์ไปหรือเปล่า

โดยเฉพาะกับวิกฤตเศรษฐกิจ

เริ่มจากปัจจัยในประเทศ

ต่อให้เราสามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ชนิด “เอาอยู่” ได้ภายในสิ้นเดือนนี้

ก็ไม่ได้หมายความว่าวิกฤตเศรษฐกิจที่ซ้อนทับอยู่ จะสลายตัวไปด้วยในทันที

ไม่ว่าจะภาคการท่องเที่ยวทั้งสายการบิน โรงแรม ภัตตาคาร และซัพพลายเชน

ภาคการส่งออก (เพราะข้างนอกยังไม่ฟื้น)

ภาคการบริโภคในประเทศ ทั้งร้านอาหาร ร้านค้าเล็กร้านค้าน้อย เอสเอ็มอีที่เน้นตลาดภายใน

ทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 3-6 เดือนถึงจะกลับมาตั้งหลักได้

แต่ตั้งหลักด้วยนะครับ ยังไม่เป็นปกติเลย

นี่ยังไม่นับว่า มาตรการช่วยเหลือเยียวยาของรัฐ

ไม่ว่าจะกับคนตกงาน หรือกิจการที่ยังไม่ล้ม (แต่ยังประคองพนักงานเอาไว้ แม้ในภาวะซวนเซ)

ที่ทำท่าว่าจะไม่ทั่วถึง

และยังตั้งท่าว่าจะเริ่ม “กั๊ก” อีกด้วย

(อย่างกรณีประกันสังคมที่ทั้งดึงทั้งยื้อการจ่ายเงิน ไปถึงการให้สัมภาษณ์แบบยืดๆ หดๆ ของกระทรวงการคลัง ว่าจะช่วยคนตกงานแล้ว 3 เดือนก่อน เดี๋ยวค่อยมาว่ากันอีกที ทั้งที่ตอนขออนุมัติเงิน โฆษณาเสียใหญ่โต ว่าจะประคองคนในประเทศนี้อย่างน้อย 6 เดือน)

ช่วยก็ไม่เต็มหมัด

มาตรการฟื้นฟูก็ไม่ชัด

คิดหรือครับว่าจะกระโดดออกจากหลุมดำไปได้ง่ายๆ

ฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ประเมินว่า

กว่าเศรษฐกิจจะฟื้นก็โน่นครับ

ปี 2565 หรืออีก 2 ปีข้างหน้า

โดย 2563-2564 คือช่วงตกท้องช้างของตัว U

อาจจะเป็นการมองโลกในแง่ร้าย (หรือมองตามความเป็นจริงหว่า?) ไปสักนิด

แต่ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ท่านอบรมสั่งสอนมา

ท่านบอกว่า เวลาเผชิญหน้ากับปัญหาหรือวิกฤต

ให้คิดและเตรียมการตั้งรับภาวะที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อน

ถ้าเลวที่สุดจริง จะได้ไม่ตระหนกตกใจ

แต่ถ้าไม่ ก็ถือว่าเป็นกำไร

ท่านไม่เคยสอนให้ประเมินสถานการณ์ต่ำกว่าความเป็นจริงเลย

แต่เอาละ สมมุติ (อย่างฟลุกที่สุด) ว่าไทยหลุดจากวิกฤตทั้งโรคระบาด

และเริ่มตั้งตัวในทางเศรษฐกิจได้จริง

โลกเขาก็ไม่ได้ฟื้นไปด้วย

อย่างที่เรียนมาข้างต้น

โลกไม่ฟื้น การท่องเที่ยว-การส่งออกที่สร้างรายได้รวมร้อยละ 70 ของจีดีพี ก็ยังไม่กลับฟื้นคืนมา

คริสติน ลาการ์ด กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ เพิ่งแถลงใหญ่ว่า

ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของโลกครั้งนี้ วิกฤตที่สุดนับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression) เมื่อปี 1929-1935

ครั้งนั้นส่งผลมาถึงเมืองไทย จนเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการอภิวัฒน์ 2475 ด้วย

จีนที่ทำท่าจะเริ่มตั้งหลักได้

แต่นโยบายที่รัฐบาลของเขาจะดำเนินการ (เหมือนกับทุกรัฐบาลจากนี้ไป) ก็คือกระตุ้นการบริโภคในประเทศ (ซึ่งเขาทำได้ เพราะตลาดภายในใหญ่มหาศาล)

การส่งออก-นำเข้า ที่มีสัดส่วนไม่ถึงร้อยละ 20 ของจีดีพีนั้นรอได้

หรือถึงอยากจะเข็น

ก็เข็นไม่ขึ้น

ถ้าตลาดหลักอย่างสหรัฐและยุโรปยังสะบักสะบอมอยู่อย่างนี้

เศรษฐกิจสหรัฐดิ่งลงมาสองไตรมาสซ้อนๆ แล้วตั้งแต่ก่อนประสบกับวิกฤตโรคระบาด

เมื่อเจอโควิด-19 เข้ามาซ้ำ เจพีมอร์แกน บริษัทวาณิชธนกิจใหญ่ของสหรัฐคาดว่า

จีดีพีสหรัฐอาจจะลดลงไปได้ถึงร้อยละ 40

และจะมีคนตกงานถึงร้อยละ 20 ของตลาดแรงงาน

หรือประมาณ 25 ล้านคน

เพราะพิษโควิด-19 ร้ายกว่าที่ประเมินเอาไว้มาก

วันนี้ถึงจะมีผู้ติดเชื้อเกินครึ่งล้าน มีผู้เสียชีวิตกว่า 23,000 คน

แต่ยังไม่ถึง “พีก”

เพราะเขาประเมินกันว่าคนติดเชื้อในสหรัฐนั้นน่าจะมากกว่า 1 ล้านคน

ส่วนผู้เสียชีวิตจะไม่ต่ำกว่า 60,000 คน

ซึ่งก็มีแนวโน้มเป็นไปได้

เพราะตอนนี้โรคที่ระบาดหนักอยู่ตามมหานครริมสองฝั่งมหาสมุทร

เริ่มระบาดเข้าไปสู่ตอนกลางของประเทศ

ที่มี “กลุ่มเสี่ยง” (คือชราและยากจน) มากกว่าแล้ว

ถ้าสหรัฐ ในฐานะ “ประเทศผู้บริโภคอันดับหนึ่งของโลก” ยังไม่ฟื้น

คิดหรือว่าโลกจะฟื้น-เราจะฟื้นขึ้นมาแบบปาฏิหาริย์

ตั้งการ์ดให้สูงเข้าไว้ครับ

โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ-ปากท้อง