ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 เมษายน 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
เข้าใจและเห็นใจรัฐบาลท่านอยู่เหมือนกัน
ว่าการบริหารราชการ การดูแลพี่น้องประชาชน การประคับประคองประเทศในช่วงวิกฤตนั้น ไม่ใช่งานง่ายๆ เลย
ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของสังคม ก็ภาวนาเอาใจช่วยให้มาตรการหรือแนวทางทั้งหลายแหล่ที่ท่านประกาศออกมา-ไม่ว่าบังคับใช้หรือขอร้อง ประสบความสำเร็จ
ทำให้การแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 ลดลงอย่างรวดเร็ว
อันจะส่งผลให้วิกฤตที่เกิดขึ้นกับปากท้องของพี่น้องร่วมชาติ
ไม่สาหัสจนเกินแก้ไปด้วย
แต่ก็เช่นกัน ในฐานะสมาชิกของสังคมที่อยากเห็นทุกอย่างผ่านไปด้วยดี หรือมีผลกระทบกับคนส่วนใหญ่น้อยที่สุด
อะไรก็ตามที่แปลกที่แปร่ง ที่มีคนเขาทักท้วงอย่างมีเหตุผล
ก็พยายามสะท้อนต่อไปถึงท่านผู้มีอำนาจทั้งหลายตามหน้าที่
ยิ่งในยามที่ท่าน “รวมศูนย์อำนาจ” ทั้งหมดเอาไว้กับตัว
ถ้าไม่มีเสียงอื่นนอกจาก “เยส ไพรม์มินิสเตอร์” แล้ว
โอกาสที่จะขึ้นสวรรค์หรือลงนรกนั้นอยู่ในระดับครึ่งต่อครึ่ง
หรือบางครั้งอาจจะมากกว่าครึ่งด้วยซ้ำ
ไม่ต้องบอกก็คงรู้กันว่าครึ่งไหน
หุหุ
ในยามวิกฤตนั้น ใจคนระส่ำระสาย
อะไรที่ไม่เป็นเรื่องก็พร้อมจะเป็นเรื่องขึ้นมาได้
เรื่องเล็กก็พร้อมจะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวขยายเป็นเรื่องใหญ่
ยกตัวอย่างเช่น เรื่องการขอซื้อเรือยกพลขึ้นบกของกองทัพเรือ ด้วยเหตุผลว่าเพื่อมาสนับสนุนกองเรือดำน้ำที่เพิ่งจัดซื้อไปหมาดๆ
ถามจริงๆ เถอะว่า กองทัพหรือรัฐบาลไม่เคยได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมบ้างเลยหรือไร
หรือได้ยินแล้ว แต่ไม่เคยใส่ใจ
เคยดู “กาลเทศะ” ว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่บ้างหรือไม่
เคยประเมิน “ใจคน” บ้างไหม
ว่าในยามที่เขากำลังลำบากสาหัสทั้งจากโรคระบาด และความไม่มีกิน
ในยามที่แพทย์และบุคลากรสาธารณสุขทั้งหมดร้องเรียนว่า ขาดแคลนเครื่องป้องกันและเวชภัณฑ์ที่จะต่อสู้กับการระบาดของไวรัส
ท่านเสนอเรื่องให้ ครม.อนุมัติเรื่องนี้ได้อย่างหน้าตาเฉย
แม้จะมีคนทักท้วงมาก่อนแล้ว
เสนอเข้าไปแล้วไง
มีแต่เสียงชยันโตดังขึ้นทั่วประเทศ จนต้องถอนเรื่องจากการพิจารณาของ ครม.
ถอนไปแล้วยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าจะกอบกู้ความเชื่อถือหรือชื่อเสียงกลับมาได้หรือไม่
ทั้งกองทัพและรัฐบาลนั่นแหละ
และที่อยากจะกราบเรียนท่านผู้รับผิดชอบทั้งหลายในรัฐบาลว่าเตรียมตัวตั้งรับเอาไว้แต่เนิ่นๆ
ก็คือปฏิกิริยาของคนที่ลงทะเบียนขอรับเงินช่วยเหลือ-เยียวยา แล้วไม่เข้าข่ายที่รัฐบาลจะจ่ายให้
เพราะเริ่มต้นท่านไม่กำหนดกฎเกณฑ์อะไรเอาไว้ให้ชัดเจน ไม่ขีดเส้นตาย ว่าตรงไหนทำได้ทำไม่ได้
วันนี้คนลงทะเบียนก็มากกว่า 20 ล้านคนเข้าไปแล้ว
ในจำนวนนี้ถ้าได้ครึ่ง ไม่ได้ครึ่ง
ครึ่งที่ได้เขาก็ไม่ได้สำนึกบุญคุณอะไร เพราะมันเป็น “สิทธิ” อันพึงมีพึงได้
เนื่องจากกิจการส่วนใหญ่ถูกปิดตัวลงไปโดยคำสั่งของรัฐ
ถึงจะสั่งด้วยความหวังดี รัฐก็มี “หน้าที่” ต้องเยียวยาเขา
ที่น่าห่วงกว่าก็คือครึ่งที่ไม่ได้นั่นต่างหาก
ถามว่าวันนี้มีใครบ้างที่ไม่ได้รับกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคหรือคำสั่งปิดเมือง
โดนกันทั้งนั้นแหละ อยู่ที่มากหรือน้อยเท่านั้นเอง
ถ้าโดนด้วยกัน แล้วพวกหนึ่งได้ อีกพวกไม่ได้
ถามว่าปฏิกิริยาของคนประมาณ 10 ล้านที่ไม่เข้าข่ายจะได้รับการช่วยเหลือจะเป็นอย่างไร
คงรักรัฐบาลมากขึ้นกระมัง?
เรื่องอะไรที่ขัดคูเคืองตาแบบนี้แหละครับที่รัฐบาลควรจะสดับตรับฟังให้มากกว่าเสียงสรรเสริญเยินยอ (ซึ่งส่วนใหญ่มาจากคนใกล้ตัวที่ได้ประโยชน์จากอำนาจ)
โบราณท่านว่า มีคนมาชี้ข้อบกพร่องก็เหมือนชี้ขุมทรัพย์ให้
ใครจะบ้าพออยากมีเรื่องกับคนมีอำนาจ-คนถือปืน
ถ้ามันไม่เหลืออด ถ้ามันไม่ใช่ความเป็นความตายทั้งส่วนตัวและส่วนรวม
ฟังครับ-วันนี้ท่านฟังเยอะๆ เถิด
ก่อนจะตัดสินใจอะไรที่จะลากคนส่วนใหญ่ขึ้นสวรรค์หรือลงนรกไปด้วย