ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 มีนาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
นี่คือนาทีพิสูจน์ความ “เป็น” ของรัฐบาลอีกรอบ
เพราะมีวิกฤตอย่างน้อยสองเรื่องเป็นเครื่องทดสอบ
อย่าแรกคือ โควิด-19 และอย่างต่อมาคือ ปฏิกิริยาต่อความเคลื่อนไหวของนักเรียน นักศึกษา
ทั้งสองเรื่องนี้มีชีวิตคน และอนาคตของสังคมเป็นเดิมพัน
เรื่องแรก ต้องชื่นชมอีกครั้งถึงความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุข และความทุ่มเทของบุคลากรทางการแพทย์ของไทยทุกส่วน
ที่ช่วยจัดการกันจน “เอาอยู่”
แต่อย่างที่คนจำนวนมากตั้งข้อสังเกตเอาไว้ คือต่อให้ระบบสาธารณสุขหรือบุคลากรด้านนี้ดีแค่ไหน แต่ถ้าระบบอื่นยังเละๆ เทะๆ
โอกาสที่จะเกิดวิกฤตก็ยังเป็นไปได้สูงยิ่ง
เอาแค่ว่าจะแถลงข่าวเพื่อคลายความสับสนให้สังคม ยังกลายเป็นสร้างความสับสนให้เกิดขึ้นเสียเอง
หรือแค่การจัดการกับปัญหาหน้ากากอนามัยว่าขาดแคลนหรือไม่ ที่แม้แต่ในรัฐบาลยังไม่พูดเป็นเสียงเดียวกัน
ไม่แต่เท่านั้น ยังเอามาเป็นประเด็น “แทง” กันด้วย
ข้อกล่าวหาว่า ใครหรือพรรคไหนกำลังทำมาหากินบนความเสี่ยง ความยากลำบากของพี่น้องประชาชนนี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะครับ
กล่าวหากันแล้วก็ต้องสาวต่อให้ถึงที่สุด
ฝั่งที่ถูกกล่าวหา ก็ต้องพิสูจน์ตัวเองให้สิ้นข้อกังขา ว่าไม่ได้มีพฤติกรรม “ชั่วร้าย” อย่างที่เขาพูดกันจริง
ส่วนผู้มีอำนาจสูงสุด จะนั่งเป็นพรมลูกฟักไม่ทำอะไรเลยไม่ได้
มีข้อสงสัยต้องจัดการให้กระจ่างชัดเจนกันไป
ไม่อย่างนั้น เวลาที่ “เรื่องใหญ่-เรื่องจริง” เข้ามาจ่อคอหอยอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
ก็จะยิ่งบรรลัย
อย่างกรณีโรงงาน “รีไซเคิลหน้ากากอนามัย”
ถ้าหากไม่ใช่เอามาแยกชิ้นทำลายตามข้ออ้าง แต่แค่ซักๆ ล้างๆ แล้วเอามาขายใหม่
ให้คนเอากลับไปใช้เสี่ยงดวงกันเอง ว่าจะติดเชื้ออะไรไปหรือไม่
จะปล่อยให้แค่เป็นเรื่องของระดับนายอำเภอได้อย่างไร
นี่ความเป็นความตายของชีวิตคน
รัฐบาลไม่ออกเต้นแร้งเต้นหาอะไรบ้างหรือ
ไม่ทำให้เห็นกันชัดๆ หรือ ว่าใครก็ตามที่ทำมาหากินกับความไม่ปลอดภัยของเพื่อนร่วมชาติ
ต้องได้รับการจัดการอย่างเด็ดขาดด้วยกฎหมายที่มีอยู่
อีกกรณีที่ “ผีน้อย” 5,000 คนจะเดินทางกลับมาจากเกาหลีใต้
ไม่รับกลับก็ไม่ได้ เหมือนจะทิ้งให้เขาตายอยู่ที่นั่น
แต่ถ้าให้กลับมา จะจัดการอย่างไร มีแผนรองรับเอาไว้หรือยัง เพื่อป้องกันไม่ให้โรคมีโอกาสแพร่ระบาดออกไป
สถานที่ บุคลากร เครื่องไม้เครื่องมือ มีพร้อมหรือไม่ ถ้าไม่มี จะหาจากไหนให้ทัน
หนนี้หนักหนาสาหัสกว่ารับคนกลับจากอู่ฮั่นไม่รู้กี่เท่า
ถ้าทำได้ ชาวบ้านก็จะแซ่ซ้องด้วยความสบายใจ
แต่ถ้าทำไม่ได้หรือทำไม่ถึง แค่มีกรณีคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นรายเดียว
อภิมหาโกลาหลจะเกิดขึ้นในสังคมทันที
เรื่องที่สอง กรณี “แฟลชม็อบ” ของนักเรียน นักศึกษา
ถ้ายังขยันโหมไฟ ถ้าหมั่นใช้ IO สาดข้อหาที่พร้อมจะทำให้สังคมแตกแยกกันยิ่งกว่านี้เข้าไป
เดี๋ยวก็มี “น้ำผึ้งหยดเดียว” เกิดขึ้นจนได้
ไม่เข้าใจ (หรือแกล้งไม่เข้าใจ) ที่มาของปัญหา
ไม่สนใจว่าจิตใจของประชาชนเป็นอย่างไร
มีตัวอย่างให้เห็นมาเยอะแล้วจากประวัติศาสตร์ทั้งใกล้และไกล
เอาตัวอย่างจากจีนที่เห็นว่าอยากจะไปเลียนแบบเขาก็ได้
กว่า 4,000 ปีของประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ เมื่อไหร่ที่ผู้ปกครองไม่ใส่ใจ ไม่เข้าใจความต้องการของประชาชน
ไม่นานก็มีการลุกฮือ
เมื่อมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตามมา
ผู้ปกครองก็ได้ฉายาใหม่ว่าเป็นทรราช
ประวัติศาสตร์หาอ่านง่ายๆ แบบนี้มีอยู่ทั่วไป
เป็นเครื่องเตือนใจและเป็นประโยชน์กว่าท่องแค่ว่าบรรพบุรุษมาจากอัลไต-ที่ไม่ใช่เรื่องจริง-หลายเท่านัก
รัฐบาลอยู่ได้หรือไม่ได้นั่นไม่ใช่ประเด็นหรอกครับ
แต่ประชาชนต้องอยู่ได้ และอยู่ดีด้วย
ถ้ามีรัฐบาลแล้วพึ่งพาอาศัยไม่ได้ ก็หาคนใหม่ที่ทำได้เข้ามาทำ
แค่นั้นเอง