ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 5 มีนาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
ไม่ต้องแปลกใจหรอกนะครับ
ถ้าอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะถอยหลังไปอยู่เป็นประเทศด้อยพัฒนาที่สุดในกลุ่มอาเซียน
หรือเผลอๆ จะถอยไปอยู่ในกลุ่มประเทศด้อยพัฒนาที่สุดของโลก
เพราะในขณะที่คนอื่นเขาเดินไปข้างหน้า
สังคมนี้กลับถูก “พลังงานมืด” (มีจริงๆ นะครับ ตามหลักฟิสิกส์–อย่าตีความกันเป็นอย่างอื่น) ดึงให้ถอยหลังกลับไปอย่างน้อย 50 หรือ 100 ปี
และโอกาสที่จะฟื้นตัวกลับมายืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับชาวโลก
ทั้งในแง่ชีวิตความเป็นอยู่ ทั้งในแง่ของ “ความเป็นคน” ที่ครอบคลุมทั้งสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค อันจะนำไปสู่การสร้างสรรค์ และพลังในทางบวกทั้งหลาย
บอกได้ว่ายาก ถึงยากที่สุด
เพราะที่เรากำลังเผชิญหน้าอยู่คือความล้มเหลวเชิงโครงสร้าง
ในทางเศรษฐกิจ ก็อย่างที่ทุกคนเห็น
ความสามารถในการแข่งขันในภาคเศรษฐกิจเดิม ไม่ว่าจะเป็นการเกษตรหรืออุตสาหกรรม
เราหลุดโลกไปเรียบร้อยแล้ว
ในขณะที่ไม่มีความสามารถ ไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อม และไม่มีโครงสร้างพื้นฐานเพียงพอที่จะรองรับ “เศรษฐกิจใหม่” อย่างเทคโนโลยีทั้งหลาย
ไม่ว่าจะเอไอ ไอโอที โทรคมนาคม หรืออื่นๆ
ที่พอจะประคองตัวไปได้ (ถ้าไม่เจ๊งระเนระนาดเพราะปัญหาเฉพาะหน้ากันไปก่อนในรอบนี้) ก็คือภาคบริการ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว
แต่ก็อีหรอบเดียวกัน
การเร่งตักตวงกอบโกยประโยชน์เฉพาะหน้า โดยไม่สนใจที่จะเสริมสร้างหรือรักษารากฐานสำคัญ
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม (หมายถึงชีวิตของชาวบ้านจริงๆ ไม่ใช่ของปลอมที่แค่ทำเลียนแบบขายนักท่องเที่ยว) ความสะอาด และความปลอดภัย
ปล่อยอย่างนี้ไปอีกไม่นาน
การท่องเที่ยวก็จะกินตัวเอง แล้วค่อยๆ เหี่ยวแห้งตายไปเหมือนการเกษตรและอุตสาหกรรม
ถึงตอนนั้นก็เอวัง
อันที่จริงถึงโครงสร้างเศรษฐกิจซวนเซจะพังมิพังแหล่ แต่ถ้าโครงสร้างทางการเมืองแข็งแรง
ก็ยังพอมีทางที่จะตะกายพ้นจากหลุมดำนี้ไปได้
แต่อนิจจา โครงสร้างการเมืองไทยนั้น “อุบาทว์” เสียยิ่งกว่าโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
จึงนอกจากจะไม่ได้เป็นตัวช่วยแล้ว ยังกลายเป็นตัวถ่วงอีกต่างหาก
หรือใครคิดว่าสังคมที่ไม่มีหลักกฎหมาย ระบบการเมืองที่ใคร “หน้าด้านกว่า-กำปั้นใหญ่กว่า” ก็ยึดอำนาจไป
จะนำพาสังคม-คนส่วนใหญ่เดินไปสู่ความรุ่งเรืองไพบูลย์ได้บ้าง
อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ สรุปภาพความขัดแย้งและการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจทางการเมืองในรอบ 10 กว่าปีที่ผ่านมา
ว่าเป็น “สงครามเบ็ดเสร็จ”
คือมีการทุ่มสรรพกำลังทุกอย่าง ดาหน้ากันออกมาทุกองค์กร และไม่ละอายที่จะใช้ทุกวิธีการ
จนไม่เหลือหลักการ บุคคล หรืออะไรต่อมิอะไรให้ยึดเหนี่ยวต่อไป
ถึงอย่างนั้นก็ยังเอาชนะพลังของความเปลี่ยนแปลงไม่ได้
ทำได้มากที่สุดคือยื้อเวลา
ซึ่งในอีกด้านหนึ่งก็คือเพิ่มปัจจัยวิกฤตให้กับความวิกฤตมากขึ้น
ดังนั้น ยิ่งยื้อไปอีกนานแค่ไหน ก็ยิ่งสั่งสมปัจจัยและพลังของความเปลี่ยนแปลงให้มากขึ้นเท่านั้น
ส่วนปัจจัยและพลังที่ว่านี้จะนำไปสู่อะไร
ไม่มีใครรู้
แต่ไอ้ตรงไม่รู้นี่แหละครับที่อันตรายนัก
กรณีคำตัดสินยุบพรรคอนาคตใหม่เป็นแค่อีกหนึ่งในยอดภูเขาน้ำแข็งที่ปรากฏ
ข้างใต้นั้นยังมีสารพัดปัจจัยและปัญหากองสุมซ้อนทับกันอยู่
เหมือนแผ่นเปลือกโลกที่สั่งสมความเครียด รอเงื่อนไขและเวลาสุกงอมกลายเป็นแผ่นดินไหว
ส่วนจะเมื่อไหร่ หรือหลังจากนั้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
ไม่รู้อีกนั่นแหละครับ
รู้แต่ว่าตอนนี้อยากกลับไปหาหนังสือนิยายวิทยาศาสตร์ชุด “สถาบันสถาปนา” ของไอแซ็ก อาซิมอฟ มาอ่านใหม่อีกรอบ
เพราะอนารยยุคที่ทอดรออยู่ข้างหน้าของสังคมนี้ดูมืดมนและยืดยาว
แม้อาจจะไม่ถึง 10,000 ปีเหมือนในนิยาย
แต่ก็ส่อเค้าจะกินเวลาและโกลาหลไม่น้อยกว่ากัน
คำถามคืออะไรจะเป็นจุดเปลี่ยน ที่จะย่นเวลาและความโกลาหลนี้ให้น้อยลงได้เหมือนสถาบันสถาปนา
หรือจะสมัครใจเดินถอยหลังเข้าหลุมดำกันอีกสัก 2-3 ชั่วอายุคน
เลือกกันได้นะครับ