ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 ธันวาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
วันนี้ตั้งใจเขียนเพื่อให้กำลังใจกับกรมป่าไม้โดยตรงครับ
เพราะนานๆ ที ถึงจะมีข้าราชการไทยที่กล้าหาญลุกขึ้นมา “ชน” กับผู้มีอำนาจ-ผู้มีอิทธิพลสักหน
ไม่ถือโอกาสให้กำลังใจกันครั้งนี้
ก็ไม่รู้จะต้องรอไปอีกเมื่อไหร่
เชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านคงจะผ่านหูผ่านตากรณีที่ดินของคุณทวีและคุณปารีณา ไกรคุปต์ มาแล้ว
และสามารถเปรียบเทียบการทำงานของกรมป่าไม้ กับหน่วยราชการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องพัวพันกับเรื่องนี้
ว่ามีจุดยืนแตกต่างกันขนาดไหน
การเอาจริงเอาจังกับการรุกพื้นที่ป่าสงวนฯ 46 ไร่ ที่มีโทษถึงขั้นจำคุก
เทียบไม่ได้กับท่าทีผ่อนปรนละมุนละม่อม ของการประกาศรังวัดที่ดินใหม่ของ ส.ป.ก.
หรือการอนุญาตให้คุณปารีณายื่นแก้ไขบัญชีทรัพย์สินได้อีกรอบของ ป.ป.ช.
วิธีการปฏิบัติประเภทหลังนี่แหละครับ ที่สร้าง “อภิสิทธิ์ชน” ขึ้นมาในสังคมไทย
และเป็นรากให้ความแตกแยกความขัดแย้งในสังคมนี้ถ่างกว้าง-รุนแรงยิ่งขึ้น
ไม่เชื่อก็ลองเทียบกรณีของคุณปารีณากับชาวบ้านไทรงามที่ถูกดำเนินคดีบุกรุกป่า ทั้งที่อยู่ในที่ดินที่ทำกินมาแต่อ้อนแต่ออก
หรือกรณีบุกเผาหมู่บ้านกะเหรี่ยงที่แก่งกระจาน ในนามของการ “ทวงคืนผืนป่า” ดูก็ได้
ทำไมคนจน คนไม่มีอำนาจ ไม่มีโอกาสให้พิสูจน์ความเป็นธรรมเหมือนบรรดาอภิสิทธิ์ชนทั้งหลาย?
ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่น่าแปลกใจ
เพราะในรอบสิบกว่าปีมานี้ ลัทธิอภิสิทธิ์ชนมีอิทธิพลมากขึ้นและมากขึ้นเป็นลำดับ
เมื่อมี “ผู้นำ” ลุกขึ้นมาฉีกรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศได้อย่างหน้าตาเฉย 2 ครั้ง ในช่วงเวลาที่ห่างกันไม่ถึง 10 ปี
แล้วจะไม่ให้ “ลิ่วล้อ-บริษัทบริวาร” ชูหางกลายเป็นแมงป่องผยองเดชขึ้นมาได้อย่างไร
เมื่อลูกพี่ฉีกกฎหมายสูงสุดของประเทศได้
ลิ่วล้อจะไปกลัวอะไรกับกฎหมายระดับรองลงมา
ขนาดเห็นๆ กันว่าเป็นความผิดซึ่งหน้า ยังมีอภิสิทธิ์ชนด้วยกัน (ซึ่งสันหลังเหวอะหวะคล้ายกัน) ออกมาช่วยอุ้มได้อย่างหน้าตาเฉย
แล้วใครจะเชื่อว่ากฎหมายในบ้านนี้เมืองนี้เสมอภาคเสมอหน้า สมควรแก่การเคารพและปฏิบัติตาม
ที่ออกมาตะโกนอยู่ปาวๆ ให้คนอื่นเคารพกฎหมาย
กลับมาย้อนดูตัวเองและพวกพ้องบ้างหรือไม่
หวังลมๆ แล้งๆ อยู่ว่า กรณีที่ดินของคุณทวีและคุณปารีณาครั้งนี้
จะนำไปสู่การตรวจสอบสังคายนาการถือครองที่ดินโดยมิชอบในสังคมไทยอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นผู้มีอำนาจหรือผู้มีอิทธิพลหน้าไหน จะต้องถูกตรวจสอบด้วยความโปร่งใส
ว่าการถือครองนั้นชอบด้วยกฎหมาย
ไม่ใช่กำปั้นใหญ่แล้วได้เปรียบ
เพราะนี่ไม่ใช่แต่ปัญหาที่ดิน (ซึ่งที่จริงก็เป็นปัญหาใหญ่อีกเรื่องหนึ่งในสังคมไทย)
แต่ยังเป็นปัญหา “ค่านิยม” และมาตรฐานของการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม
สังคมไหนที่ค่านิยมว่าอำนาจและอิทธิพลอยู่เหนือกฎหมาย
หรือการบังคับใช้กฎหมายแบบสองมาตรฐานเป็นเรื่องปกติ
สังคมนั้นก็เดินหน้าเข้าสู่ความวิบัติบรรลัยในไม่ช้า
จึงหวังลมๆ แล้งๆ อีกเช่นกันว่า
กรมป่าไม้ที่ออกหน้าขึงขังอยู่ในเวลานี้ จะไม่ถูกอิทธิพลในทางลับอะไรทำให้เรื่องกลายเป็น “มวยล้มต้มคนดู” ในตอนจบ
เพื่อและเผื่อจะได้เป็นตัวอย่างให้หน่วยราชการอื่นๆ ลุกขึ้นยืนตรง “มีกระดูกสันหลัง” กับเขาบ้าง
เผื่อความหวังต่อสังคมไทยที่มอดลงไปเรื่อยๆ จะถูกจุดประกายขึ้นมา
แต่ถ้า “ผู้นำ” คนไหนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ จะเดินหน้าอุ้มการกระทำที่ละเมิดกฎหมายชัดเจน ไม่ว่ากรณีนี้หรือกรณีไหน ก็ลองดูได้นะครับ
หมั่นสะสมฟางบนหลังอูฐเข้าไว้
ถึงไม่มีใครบอกได้ว่าอะไรจะเป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่ทำให้ความอดทนในสังคมขาดผึงลง
แต่เค้าลางหลายอย่างบอกว่า
เวลาที่ว่าอยู่ไม่นานนักแล้ว