ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 พฤศจิกายน 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
ทั้งโรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น
นี่ไม่ได้มาเล่นคำหรือต่อกลอนครับ
แต่มาสะท้อนเศรษฐกิจไทย
ข่าวร้ายล่าสุด ก็คือการที่รัฐบาลสหรัฐประกาศตัด GSP สำหรับอาหารทะเลไทยจำนวน 1.3 พันล้านเหรียญ หรือ 4 หมื่นล้านบาท
คิดเป็น 1 ใน 3 ของมูลค่าอาหารทะเลไทยที่ส่งไปขายในสหรัฐ
เหตุผลของรัฐบาลสหรัฐคือปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ยังไม่ถึงระดับมาตรฐาน
ข้อหานี้จะเป็นจริงหรือไม่เพียงใด
หรือจะเป็นข้ออ้างบังหน้าสำหรับการเจรจาต่อรองผลประโยชน์เรื่องอื่น
เป็นภาระหน้าที่ที่รัฐบาลต้องติดตาม สืบเสาะ และแก้ไขต่อไป
แต่ที่แน่ๆ คือถ้าแก้ไม่ได้หรือแก้ไม่ทันเวลา
การส่งออกของไทยที่ร่อแร่ระดับติดลบอยู่แล้ว จะยิ่งติดลบหนักยิ่งขึ้น
เศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้ว (ไอเอ็มเอฟลดเป้าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้จากร้อยละ 3 กว่าๆ เหลือร้อยละ 2.9)
ก็จะยิ่งทรุดหนักลงไปอีก
เท้าความไปถึงเรื่องอื่นอีกสักนิด เพื่อให้ได้ภาพเปรียบเทียบชัดขึ้น
ไม่กี่วันก่อน สิงคโปร์ซึ่งถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลก
ประกาศลดค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์เทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐลงมาประมาณร้อยละ 1.5
คือจากประมาณ 1.35 สิงคโปร์ดอลลาร์/1 ดอลลาร์สหรัฐ
มาเป็น 1.37 ดอลลาร์สิงคโปร์/1 ดอลลาร์สหรัฐ
และตลาดคาดว่าจะไหลลงไปอยู่ที่ระดับ 1.43 ดอลลาร์สิงคโปร์/1 ดอลลาร์สหรัฐในช่วงสิ้นปีนี้
นี่ประเทศที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงสุดในโลกนะครับ
ยังต้องลดค่าเงินเพื่อประคองเศรษฐกิจ
หันมาดูประเทศที่ระดับความสามารถในการแข่งขันอยู่ที่อันดับ 40 ของโลกบ้าง
ค่าเงินบาทของประเทศนี้ ทำสถิติแข็งขึ้นมากที่สุดในรอบ 6 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
และแข็งขึ้นเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย
ล่าสุดเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วอยู่ที่ 30.16 บาท/1 ดอลลาร์สหรัฐ
และมีนายธนาคารใหญ่ในประเทศคาดการณ์ว่า บาทอาจจะแข็งทะลุ 30 บาท/1 ดอลลาร์สหรัฐในอีกไม่ช้าไม่นาน
การส่งออกและการท่องเที่ยวที่เป็นรายได้ประมาณร้อยละ 70 ของประเทศ ก็แห้งเหี่ยวลงสวนทางกับค่าเงินที่แข็งขึ้น
โดยที่ธนาคารชาติท่านก็ไม่ได้ทำอะไร (หรือทำแล้วชาวบ้านทั่วไปไม่รู้ เพราะไม่เคยเห็นผล)
รัฐบาลที่ควรจะเป็นคู่ผัวตัวเมียหรือลิ้นกับฟันกับธนาคารกลาง ก็ไม่ตึงตังโวยวาย
ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามยถากรรม
ที่ตายก็พ่อค้าแม่ขาย ตั้งแต่ใหญ่ไล่ลงมาถึงเล็ก
และชาวบ้านตาดำๆ
ล่าสุด แต่คงไม่สุดท้าย
สรรพสามิตท่านออกมาประกาศว่าจะไล่จับซุ้มยาดองทั่วประเทศ ที่น่าจะมีอยู่ประมาณ 4,000 ซุ้ม
ในนามของการกวดขันเรื่องสุขภาพและภาษี
ดูเผินๆ ก็เหมือนจะดี
แต่ถามว่าไม่มีมาตรการอื่นอีกแล้วหรือ
ทำไมจะยกระดับซุ้มยาดองให้ถูกสุขอนามัย และขึ้นทะเบียนให้เสียภาษีไม่ได้
จะเป็นการช่วยเพิ่มอาชีพ เพิ่มรายได้ของคนตัวเล็กตัวน้อยไหม
ดีกว่ากวาดคนจนให้ตกลงข้างทางของการทำมาหากินสุจริต
และเปิดซูเปอร์ไฮเวย์ให้กับเจ้าสัวไม่กี่รายหรือไม่
5-6 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้ให้บทเรียนเลยหรือว่า การกวาดคนจนลงข้างถนนนั้น ส่งผลร้ายต่อเศรษฐกิจและปากท้องชาวบ้าน
มากกว่าเป็นผลดี
ตบท้ายจริงๆ
เมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งมีรายงานสำรวจออกมาว่า
ร้อยละ 36 ของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย ถือครองโดยคน 500 คนเท่านั้น
นี่ไม่ใช่แค่ร้อยละ 1 ที่โลกชอบเปรียบเทียบกันแล้วครับ
แต่คิดเป็นแค่ร้อยละ 0.001 ของประชากรทั้งหมดในประเทศนี้
ถ้าตีคร่าวๆ ว่าตลาดหลักทรัพย์ไทยมีมูลค่าประมาณ 17 ล้านล้านบาท
ร้อยละ 0.001 ของคนในประเทศนี้ก็ถือครองทรัพย์สินเฉพาะที่เป็นหุ้นอยู่เกือบ 7 ล้านล้านบาท
คิดเป็นอัตราความเหลื่อมล้ำแล้ว ประเทศอื่นในโลกนี่ชิดซ้ายไปได้เลย
ประเทศที่เศรษฐกิจไม่โต
ส่วนที่โตก็ถูก”ขาใหญ่”กวาดไปจนเหลือแต่เศษอาหาร
มันจะอยู่กันยังไง??