ฐากูร บุนปาน | เป็นหัวหน้าหน่วยงานด้านความมั่นคง ต้องหันปืนออกนอกประเทศ แต่ดันหันเข้าใส่พวกเดียวกันในบ้าน

แต่แรกนั้นตั้งใจเอาไว้ว่า

อยากจะถกแถลงเรื่องปากท้องเศรษฐกิจกันต่ออีกสักรอบ

เพราะเสียงโอดครวญที่ดังระงมอยู่อื้ออึงนั้นยังไม่จางหายไปไหน

แต่พอเกิดเหตุการณ์เปิดห้องประชุมแถลงใหญ่เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

เลยต้องเปลี่ยนใจ

เพราะเรื่องเฉพาะหน้านี่ก็ “ใหญ่โต” ไม่น้อยไปกว่ากัน

กรณีนี้ถูกผิดชอบชังอย่างไร มีท่านผู้รู้ช่วยวิพากษ์วิจารณ์กันไปมากแล้ว

ในที่นี้จะขอแค่ตั้งข้อสังเกตเบาะๆ บางประการดังนี้ครับ

ความสำคัญผิด และสามัญสำนึกบกพร่อง เหมือนจะเป็นเอกลักษณ์ร่วมของกลุ่มผู้มีอำนาจในปัจจุบัน

ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคำพูดประชดประชันประเภท ประจานชาติตัวเองออกมา

ทั้งที่ฝ่ายถูกกล่าวหาเขาไม่ได้ด่า-ว่าร้ายประเทศชาติตรงไหน

เขาตำหนิและติติง “ตัว” ผู้มีอำนาจโดยตรงต่างหาก

นี่ถ้าไม่ใช่สามัญสำนึกบกพร่อง แปลความอะไรกลับหัวกลับหาง

ก็ต้องเพราะสำคัญตัวผิด คิดว่าตัวเองเป็นชาตินั่นเชียว

หรือเผลอๆ ก็เป็นทั้งสองอย่างควบกัน

เมื่อมีผู้บังคับบัญชาเช่นนี้ ผู้ใต้บังคับบัญชาย่อมมาในทำนองเดียวกัน

เช่น เป็นหัวหน้าหน่วยงานด้านความมั่นคง ที่ภารกิจหลักคือต้องหันปืนออกนอกประเทศ

ดันหันปากกระบอกกลับเข้ามาใส่พวกเดียวกันในบ้าน

ด้วยกระสุนจริงบ้าง

กระสุนน้ำลาย (ที่ข้อมูลก็ผิดๆ ถูกๆ) บ้าง

ถ้าไม่ใช่สับสนในบทบาทตัวเองหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบ

ก็ต้องสำคัญตัวผิดอย่างร้ายกาจ

ถึงกล้าชี้เป็นชี้ตาย (แบบพิสดาร) แทนคนในชาติได้

หรือเผลอๆ ก็เป็นทั้งสองอย่างควบเหมือนกัน

และเพราะความสำคัญผิดและสามัญสำนึกบกพร่องนี่เอง ถึงทำให้มองไม่เห็น หรือเห็นแล้วไม่เข้าใจ-ไม่รู้สึก

ไปจนกระทั่งที่น่ากลัวที่สุด คือเห็นดีเห็นงามกับความบกพร่อง-ปัญหาที่แท้จริงของประเทศ

อันได้แก่ ความเหลื่อมล้ำสารพัด ที่ดำรงอยู่-และถ่างกว้างขึ้นทุกวันในสังคมไทย

เหลื่อมล้ำเศรษฐกิจ

เหลื่อมล้ำการศึกษา

เหลื่อมล้ำโอกาส

และเหลื่อมล้ำอำนาจ

ในช่วงทศวรรษแห่งความมืดมนของประชาชนทั่วไป (แต่อาจเป็นช่วงสดใสของผู้สำคัญผิดและสามัญสำนึกบกพร่อง)

ความเหลื่อมล้ำเหล่านี้สูงขึ้นเรื่อยๆ

จะโดยความตั้งใจหรือความไร้เดียงสาก็ตามที

แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้เหลื่อมล้ำมากขึ้น

ก็คือการยึดกุมอำนาจรัฐ ที่ออกนโยบาย-มาตรการเอื้อให้คนได้เปรียบอยู่แล้ว ได้เปรียบยิ่งขึ้นไปอีก

ไปจนถึงแรงสนับสนุนอย่างหูหนวกตาบอด

หรือสมคล้อยกันเพราะมีผลประโยชน์ร่วม

เมื่อไม่ตระหนักถึงต้นตอ เห็นแต่ยอดภูเขาน้ำแข็งของปัญหาที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมา

และรู้เลาๆ แต่ว่า ยิ่งนานวันภูเขาน้ำแข็งลูกนี้จะใหญ่มากขึ้น

รวมทั้งข้างใต้นั้นยังมีอีกสารพันปัญหา

ที่ถูกอำนาจไม่เป็นธรรมหรือความละเลย (ไม่ว่าจะโดยความไม่รู้ประสีประสาหรือว่าความจงใจ) กดเอาไว้ให้จมน้ำ

แต่ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร

ก็ออกอาการหันรีหันขวางอย่างที่เห็นนี่ละครับ

มีปัญหาแต่ไม่รู้วิธีแก้ปัญหา

เห็นความเปลี่ยนแปลงแต่ไม่รู้จะรับมืออย่างไร

ก็ต้องสมมุติให้มี “ปีศาจ” หรือ “ศัตรู” ขึ้นมา

แล้วก็โยนปัญหา (ที่ตัวเองมีส่วนก่อ หรือทำให้ยิ่งขยายกลายเป็นวิกฤต) ไปว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากปีศาจหรือศัตรูนั้น

คนอื่นเชื่อหรือไม่เชื่อไม่รู้

แต่หลอกตัวเองจนเชื่อไปแล้ว

น่าสนใจนะครับว่าความเป็นไปและความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับสังคมไทย

ทั้งในระยะสั้น 2-3 ปีนี้

และในระยาว-ปานกลาง 5-10 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร

ปัญหา (ที่พร้อมจะเป็นวิกฤตได้ทุกเมื่อ) ที่ถาโถมระดมประดังเข้ามา

ด้วยปัจจัยทั้งภายนอกและภายใน

จะทำให้เกิดอะไรขึ้น

และปฏิกิริยาของกลุ่มผู้มีอำนาจ ที่พยายามเหนี่ยวรั้งความเปลี่ยนแปลงเอาไว้อย่างสุดฤทธิ์ จะออกมาในรูปไหน

และได้ผลตามที่ต้องการหรือไม่

ความสำคัญผิดและสามัญสำนึกที่บกพร่อง ของคนที่เต้นแร้งเต้นกาอยู่บนเวที

จะ “กล่อม” ผู้ชมได้ผลหรือไม่ และอีกนานขนาดไหน

ถ้าเป็นนิยายหรือละครคงลุ้นกันสนุก

แต่นี่เป็นชีวิตจริง

ถ้าเป็นโศกนาฏกรรมจะยิ่งกว่านิยายไม่รู้กี่เท่า