ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 ตุลาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
แต่แรกนั้นตั้งใจเอาไว้ว่า
อยากจะถกแถลงเรื่องปากท้องเศรษฐกิจกันต่ออีกสักรอบ
เพราะเสียงโอดครวญที่ดังระงมอยู่อื้ออึงนั้นยังไม่จางหายไปไหน
แต่พอเกิดเหตุการณ์เปิดห้องประชุมแถลงใหญ่เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
เลยต้องเปลี่ยนใจ
เพราะเรื่องเฉพาะหน้านี่ก็ “ใหญ่โต” ไม่น้อยไปกว่ากัน
กรณีนี้ถูกผิดชอบชังอย่างไร มีท่านผู้รู้ช่วยวิพากษ์วิจารณ์กันไปมากแล้ว
ในที่นี้จะขอแค่ตั้งข้อสังเกตเบาะๆ บางประการดังนี้ครับ
ความสำคัญผิด และสามัญสำนึกบกพร่อง เหมือนจะเป็นเอกลักษณ์ร่วมของกลุ่มผู้มีอำนาจในปัจจุบัน
ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคำพูดประชดประชันประเภท ประจานชาติตัวเองออกมา
ทั้งที่ฝ่ายถูกกล่าวหาเขาไม่ได้ด่า-ว่าร้ายประเทศชาติตรงไหน
เขาตำหนิและติติง “ตัว” ผู้มีอำนาจโดยตรงต่างหาก
นี่ถ้าไม่ใช่สามัญสำนึกบกพร่อง แปลความอะไรกลับหัวกลับหาง
ก็ต้องเพราะสำคัญตัวผิด คิดว่าตัวเองเป็นชาตินั่นเชียว
หรือเผลอๆ ก็เป็นทั้งสองอย่างควบกัน
เมื่อมีผู้บังคับบัญชาเช่นนี้ ผู้ใต้บังคับบัญชาย่อมมาในทำนองเดียวกัน
เช่น เป็นหัวหน้าหน่วยงานด้านความมั่นคง ที่ภารกิจหลักคือต้องหันปืนออกนอกประเทศ
ดันหันปากกระบอกกลับเข้ามาใส่พวกเดียวกันในบ้าน
ด้วยกระสุนจริงบ้าง
กระสุนน้ำลาย (ที่ข้อมูลก็ผิดๆ ถูกๆ) บ้าง
ถ้าไม่ใช่สับสนในบทบาทตัวเองหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบ
ก็ต้องสำคัญตัวผิดอย่างร้ายกาจ
ถึงกล้าชี้เป็นชี้ตาย (แบบพิสดาร) แทนคนในชาติได้
หรือเผลอๆ ก็เป็นทั้งสองอย่างควบเหมือนกัน
และเพราะความสำคัญผิดและสามัญสำนึกบกพร่องนี่เอง ถึงทำให้มองไม่เห็น หรือเห็นแล้วไม่เข้าใจ-ไม่รู้สึก
ไปจนกระทั่งที่น่ากลัวที่สุด คือเห็นดีเห็นงามกับความบกพร่อง-ปัญหาที่แท้จริงของประเทศ
อันได้แก่ ความเหลื่อมล้ำสารพัด ที่ดำรงอยู่-และถ่างกว้างขึ้นทุกวันในสังคมไทย
เหลื่อมล้ำเศรษฐกิจ
เหลื่อมล้ำการศึกษา
เหลื่อมล้ำโอกาส
และเหลื่อมล้ำอำนาจ
ในช่วงทศวรรษแห่งความมืดมนของประชาชนทั่วไป (แต่อาจเป็นช่วงสดใสของผู้สำคัญผิดและสามัญสำนึกบกพร่อง)
ความเหลื่อมล้ำเหล่านี้สูงขึ้นเรื่อยๆ
จะโดยความตั้งใจหรือความไร้เดียงสาก็ตามที
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้เหลื่อมล้ำมากขึ้น
ก็คือการยึดกุมอำนาจรัฐ ที่ออกนโยบาย-มาตรการเอื้อให้คนได้เปรียบอยู่แล้ว ได้เปรียบยิ่งขึ้นไปอีก
ไปจนถึงแรงสนับสนุนอย่างหูหนวกตาบอด
หรือสมคล้อยกันเพราะมีผลประโยชน์ร่วม
เมื่อไม่ตระหนักถึงต้นตอ เห็นแต่ยอดภูเขาน้ำแข็งของปัญหาที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมา
และรู้เลาๆ แต่ว่า ยิ่งนานวันภูเขาน้ำแข็งลูกนี้จะใหญ่มากขึ้น
รวมทั้งข้างใต้นั้นยังมีอีกสารพันปัญหา
ที่ถูกอำนาจไม่เป็นธรรมหรือความละเลย (ไม่ว่าจะโดยความไม่รู้ประสีประสาหรือว่าความจงใจ) กดเอาไว้ให้จมน้ำ
แต่ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร
ก็ออกอาการหันรีหันขวางอย่างที่เห็นนี่ละครับ
มีปัญหาแต่ไม่รู้วิธีแก้ปัญหา
เห็นความเปลี่ยนแปลงแต่ไม่รู้จะรับมืออย่างไร
ก็ต้องสมมุติให้มี “ปีศาจ” หรือ “ศัตรู” ขึ้นมา
แล้วก็โยนปัญหา (ที่ตัวเองมีส่วนก่อ หรือทำให้ยิ่งขยายกลายเป็นวิกฤต) ไปว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากปีศาจหรือศัตรูนั้น
คนอื่นเชื่อหรือไม่เชื่อไม่รู้
แต่หลอกตัวเองจนเชื่อไปแล้ว
น่าสนใจนะครับว่าความเป็นไปและความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับสังคมไทย
ทั้งในระยะสั้น 2-3 ปีนี้
และในระยาว-ปานกลาง 5-10 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
ปัญหา (ที่พร้อมจะเป็นวิกฤตได้ทุกเมื่อ) ที่ถาโถมระดมประดังเข้ามา
ด้วยปัจจัยทั้งภายนอกและภายใน
จะทำให้เกิดอะไรขึ้น
และปฏิกิริยาของกลุ่มผู้มีอำนาจ ที่พยายามเหนี่ยวรั้งความเปลี่ยนแปลงเอาไว้อย่างสุดฤทธิ์ จะออกมาในรูปไหน
และได้ผลตามที่ต้องการหรือไม่
ความสำคัญผิดและสามัญสำนึกที่บกพร่อง ของคนที่เต้นแร้งเต้นกาอยู่บนเวที
จะ “กล่อม” ผู้ชมได้ผลหรือไม่ และอีกนานขนาดไหน
ถ้าเป็นนิยายหรือละครคงลุ้นกันสนุก
แต่นี่เป็นชีวิตจริง
ถ้าเป็นโศกนาฏกรรมจะยิ่งกว่านิยายไม่รู้กี่เท่า