ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 กุมภาพันธ์ 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
โหนต่องแต่งที่ไหนก็ไม่ได้ทัก
ฤๅษีชีเปลือยที่ไหนก็ไม่ได้เตือน
รัฐบาลกับ คสช. เลยคงต้องงงันหน่อยๆ กับข่าวต่างประเทศชิ้นล่าสุดเมื่อกลางสัปดาห์
เมื่อเว็บไซต์วอชิงตันโพสต์ เขาตีพิมพ์บทวิเคราะห์เรื่อง “ประเทศใดที่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการรัฐประหารขึ้นในปี 2560?”
แล้วปรากฏว่าประเทศไทยติดอยู่อันดับ 2 ของโลก
เป็นรองแค่ “บุรุนดี” ดินแดนในแอฟริกา ที่ปกติคนทั่วไปไม่ค่อยได้ยินชื่อกัน
คิดว่าไม่น่าจะมีใครภูมิใจกับอันดับโลกล่าสุดครั้งนี้
วอชิงตันโพสต์ระบุว่า ได้ทำแบบจำลองสำหรับการคาดการณ์เกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของผู้นำ ซึ่งรวมทั้งการทำรัฐประหาร ใน 161 ประเทศทั่วโลก
โดยใช้รูปแบบสถิติคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ที่การรัฐประหาร
ว่าจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวเหมือนในประเทศไทยเมื่อปี 2557
หรือล้มเหลวอย่างที่เกิดขึ้นในตุรกีเมื่อปี 2559
แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมารวมกันเพื่อทำนายเป็นความเสี่ยงในการที่จะเกิดความพยายามรัฐประหาร
ผลวิเคราะห์พบว่า ประเทศที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดรัฐประหารน้อยที่สุดคือนอร์เวย์ ตามด้วยฟินแลนด์ ญี่ปุ่น และสโลเวเนีย
ขณะที่บุรุนดีมีความเสี่ยงที่จะเกิดความพยายามก่อรัฐประหารมากที่สุด คือร้อยละ 12
โดยอัตราส่วนความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการรัฐประหารมีโอกาสอยู่ครึ่งต่อครึ่ง
อันดับ 3 คือสาธารณรัฐแอฟริกากลาง อันดับ 4 คือสาธารณรัฐชาด และอันดับ 5 คือตุรกี
ขณะที่อันดับสองไทย ที่มีความเสี่ยงอยู่ที่ร้อยละ 11
แต่มีความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จมากกว่าจะล้มเหลว
โอววววว–แม่เจ้า
รายงานนี้ระบุว่า ประเทศที่มีความเสี่ยงรัฐประหารสูง ส่วนใหญ่เกิดจากความไม่มีเสถียรภาพ
อย่างเช่นบุรุนดี ซึ่งเกิดวิกฤตมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2558
เมื่อประธานาธิบดี ปิแยร์ อึงกูรุนซีซา ต้องการดำรงตำแหน่งเป็นวาระที่ 3 และประสบความสำเร็จ
แต่ขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดการต่อต้านในสังคม
คราวนี้มาถึงไทย
ในรายงานเขาบอกว่า นับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อปี 2557 แต่ปัจจุบันยังคงมีการจำกัดสิทธิเสรีภาพของพลเรือน
แม้จะลงประชามติผ่านร่างรัฐธรรมนูญใหม่เมื่อปี 2559 และคาดว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในปี 2560
แต่นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่า การเลือกตั้งมักจะเพิ่มความเสี่ยงในการก่อรัฐประหารมากขึ้น
บทสรุปของรายงานดังกล่าว ระบุไว้ว่า
ประเทศที่ติดอันดับต้นๆ ที่จะเกิดความพยายามก่อรัฐประหารในปีนี้ ล้วนแล้วแต่มีประวัติในเรื่องความพยายามก่อรัฐประหารเกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
หรือปัจจุบันยังคงมีความขัดแย้งทางการเมือง
และแม้ว่าความเป็นจริงคือการรัฐประหารส่วนใหญ่จะสร้างความประหลาดใจให้กับประเทศนั้นๆ
แต่สำหรับประเทศที่มีความเสี่ยงลำดับต้นๆ
ดูจะไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ
นั่นเป็นเรื่องของเทศมองไทย
เป็นเรื่องของการคาดการณ์
จะเกิดขึ้นหรือไม่ ก็ไม่รู้
จะเชื่อหรือไม่ก็ได้
และถ้าไม่เชื่อ จะรุมกันด่าว่าประณามเขาอย่างไรก็ได้
แต่ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ยอมรับไม่ได้
ก็คือ นี่เป็นภาพที่เขามองเรามาจากภายนอก
เราจะมองตัวเองว่างามเลิศประเสริฐศรี
หรืออัปลักษณ์จนดูไม่ได้อย่างไรก็ตามที
คนนอกเขาก็มีมุมมองของเขาอีกอย่าง
เขาไม่ได้บังคับให้เราเชื่อ
แต่เขาเชื่อของเขาอย่างนี้
วิธีที่ดีที่สุดถ้าหากว่าอยากตบหน้าฝรั่ง
คงไม่ใช่ด่ากันจนปากเปียกแล้วเกิดรัฐประหารในเมืองไทย
ถ้าอายเพราะรู้สึกว่าประเทศที่มีรัฐประหารนั้น “ล้าหลัง”
ก็ต้องช่วยกันเร่งการเลือกตั้ง
ช่วยกันปลูกฝังค่านิยมประชาธิปไตย
ช่วยกันทัดทานว่าอย่าใช้วิธีการนอกระบบที่ไม่เคารพเสียงของประชาชนมาตัดสินปัญหาบ้านเมือง
ทำได้จริง สถาปนาประชาธิปไตยให้งอกเงยงอกงามในสังคมไทยได้จริง
ฝรั่งก็หน้าแตกไปเอง
เว้นแต่จะรู้สึกว่ามีความสุขดีแล้ว
รัฐประหารไม่ได้ทำให้ชีวิตที่ลอยฟ่องหล่นตุ้บมาจากบัลลังก์เมฆแต่อย่างใด
นั่นก็ว่ากันไปอีกเรื่อง