ฐากูร บุนปาน | แทนที่จะเอารอยหยักในสมอง ไปแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด

เห็นทีสังคมนี้จะปรองดองหรือแสวงหาความสันติสุขได้ยากครับ

ไม่ได้มโนไปเอง แต่เป็นกังวลใจ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเห็นเอกสาร “โครงข่ายขบวนการทำลายประเทศ” ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พกพาเข้าไปอ่านในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร

หรือใครไม่กังวล

ไม่ได้กังวลเรื่องขบวนการทำลายประเทศอะไรนั่นหรอกครับ

แต่กังวลเรื่อง “กระบวนความคิด” ของหน่วยงานหรือองค์กรที่จัดทำเอกสารนี้ขึ้นมามากกว่า

เข้าใจได้ว่าน่าจะเป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงหน่วยใดหน่วยหนึ่ง หรือหลายหน่วยสรุปความขึ้นมา

และถ้าไม่มีน้ำหนักเพียงพอ นายกรัฐมนตรีคงโยนลงถังขยะไปตั้งแต่แรก

ไม่หอบเข้าสภามาวางแบหราให้ช่างภาพถ่ายภาพออกมาเผยแพร่กันเอิกเกริกแบบนี้

น่ากังวลตรงนี้ล่ะครับ

กังวลตรงที่ว่าจนกระทั่ง พ.ศ.นี้แล้ว ยังอุตส่าห์มีคนหรือหน่วยงานอะไรที่ความคิดวนเวียนอยู่ในวังวนดึกดำบรรพ์แบบนี้อีก

ที่ทำลายประเทศจริงๆ น่ะ

ไม่ใช่โครงข่ายหรือผังอะไรที่ท่านคิดเอาเองขึ้นมาหรอกครับ

แต่อยู่ที่วิธีคิดแบบนี้นี่แหละ

ประเทศคืออะไร

คือคน คือประชาชนครับ

อยู่คนเดียวไปเที่ยวประกาศตัวตั้งประเทศ คนทั้งโลกเขาจะได้หาว่าบ้า

อื่นๆ ไม่ว่าพรมแดน วัฒนธรรม ภาษา ฯลฯ ล้วนเป็นส่วนประกอบเข้ามาทีหลังทั้งนั้น

ต้องมีคนก่อนเป็นปฐม

คนเดียวก็ไม่ได้ สองสามคนก็ไม่ได้ ต้องมีคนเยอะด้วย

คนเยอะแล้วมีอะไร

ก็มีความเห็นที่แตกต่างหลากหลายกันไป

แตกกันมาก็ทะเลาะหรือรบกัน แยกกันออกไปเป็นเผ่า เป็นกลุ่ม เป็นประเทศต่างหากของตัวเอง

แต่ถ้าอารยะขึ้นมาหน่อย เมื่อมีความแตกต่างทางความเห็นความเชื่อ เขาก็จะหาวิธีตกลงกันด้วยหนทางสันติ

ไม่กล่าวหา ไม่แบ่งแยก ไม่เหยียดใครหรือกลุ่มไหน จนกระทั่งความแตกต่างนั้นกลายเป็นความแตกแยก

แต่ถ้าเห็นประเทศเป็นก้อนๆ อะไรไม่รู้ ไม่เห็นคน

ก็จะมีวิธีคิดอย่างข้างต้น

เป็นปฐมบทของการทำลายประเทศจริงๆ

และโดยที่ไม่ได้พลิกดูเอกสาร “ลับที่สุด” ฉบับนั้น ก็พอจะเดาได้ว่ากลุ่มคนที่ถูกกล่าวหาว่าทำลายประเทศจะเป็นใครบ้าง

เป็นคนที่ไม่เห็นด้วย-เห็นต่างกับผู้มีอำนาจ ที่หน่วยงานหรือองค์กรด้านความมั่นคง (ของใคร?) รับใช้อยู่

ถ้าคนเหล่านี้จะทำลายอะไรสักอย่าง ก็เห็นจะไม่ใช่ประเทศ

แต่เป็นกลุ่มคนหรือระบบที่คนเหล่านี้เห็นว่าเข้ามากุมอำนาจด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง

หรือหน่วยงานด้านความมั่นคงทั้งหลาย ไม่คิดว่าการยึดอำนาจด้วยการรัฐประหารนั่นแหละคือการ “ทำลายประเทศ” อย่างโจ๋งครึ่มที่สุด

เมื่อยึดอำนาจมาด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง

แล้วจะห้ามไม่ให้คนเขาคัดค้าน ต่อต้าน

ห้ามแม้กระทั่งคิด ห้ามการแสดงออก

ก็ยิ่งทำให้ความแตกต่างนั้นถ่างกว้างใกล้จะเป็นความแตกแยกเข้าไปทุกที

นี่แหละทำลายประเทศ

ท่านไม่เข้าใจหรือไม่รู้จริงหรือว่า

ที่ทำลายประเทศนั้นคือ “ความ” ไม่ใช่ “คน”

ความที่ว่านั้นคือความเหลื่อมล้ำทั้งหลาย

– เหลื่อมล้ำในสิทธิเสรีภาพ

– เหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ

– เหลื่อมล้ำทางโอกาส

– เหลื่อมล้ำทางการศึกษา

ฯลฯ

สารพัดจะเหลื่อมล้ำ

แทนที่จะเอารอยหยักในสมองที่มีอยู่ไม่มากนักไปแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด ไปทำให้ความเหลื่อมล้ำทั้งหลายลดลง

ให้สังคมน่าอยู่ขึ้น ไม่แยกชนแยกชั้นด้วยฐานะ โอกาส และอำนาจ

ดันผ่ามาตอกลิ่มทิ่มให้ความแตกต่างมันถ่างกว้างขึ้น

ไม่เรียกว่าทำลายประเทศแล้วจะเรียกว่าอะไร

โดยไม่ต้องมีเอกสารชิ้นนี้โผล่ขึ้นมา

สังคมไทยก็น่าทุเรศและน่าสงสารอยู่แล้ว

พอสำทับด้วยทัศนคติที่ไม่เห็นคนเป็นคนอย่างนี้เพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง

ความหวังความฝันที่จะเห็นสังคมนี้กลับมาเป็นปกติในชั่วอายุคน ก็เหมือนจะเลื่อนลอยไกลออกไปทุกที

สังคมหรือประเทศที่ไม่มีความหวังไม่มีความฝันนั้น

ไม่ต้องให้ใครทำลายหรอกครับ

มันทำลายตัวมันเองอยู่แล้ว