ตื่นจากฝันกันได้แล้ว | ฐากูร บุนปาน

เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ไฟแนนเชียลไทม์สรายงานภาวะดัชนีอุตสาหกรรมของทั้งโลก

ว่าตกลงกว่าระดับ 50 (คือมีธุรกิจที่หดตัว-ลดกำลังการผลิต มากกว่ากลุ่มที่ขยายตัวหรือทรงตัว) ติดต่อกันมาเป็นเวลา 4 เดือนแล้ว (นับถึงสิงหาคม)

ในจำนวนนี้ที่ตกหนัก-แรงกว่าใคร และเป็นตัวฉุดให้ดัชนีอุตสาหกรรมทั้งหมดลู่ลงมาด้วย ก็คือยานยนต์

ซึ่งตก-หดตัวลงหมดทั้งกระบวนการ ตั้งแต่บริษัทผู้ผลิตไปจนถึงห่วงโซ่ทั้งหมดของอุตสาหกรรม

ยกเว้นในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ที่จากดัชนีจะเห็นว่าเป็นตัวเดียวที่โงหัวขึ้นใน 2-3 เดือนที่ผ่านมา หลังจากรูดมาพร้อมกับอุตสาหกรรมอื่นๆ อยู่ครึ่งปี

สาเหตุหลักมาจากอาการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่เป็นอยู่แล้ว

ซ้ำดาบสองด้วยสงครามการค้าสหรัฐ-จีน

ซึ่งนอกจากจะทำให้ปริมาณการค้าลดลงทันตาเห็น (ปริมาณการค้าของโลกในเดือนมิถุนายนหดตัวลงไปร้อยละ 1.4 เมื่อเทียบกับปีก่อน)

ยังทำให้ความไม่มั่นใจในอนาคตเพิ่มสูงขึ้นด้วย (ดัชนีความไม่เชื่อมั่นในการเมืองโลกพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ลองเข้าไปดูข่าวหลักได้ที่ https://www.ft.com/content/3007f9b8-cfd3-11e9-99a4-b5ded7a7fe3f?fbclid=IwAR3rjyUr8WEo3LcYcf-px0RO57AJtbEU5TCo_B-n3P9tYDeUz0PswQjMYGo)

ถามว่าแล้วเกี่ยวกับเราขนาดไหน

ตอบว่าเต็มๆ

ถ้าบรรยากาศและอารมณ์ของทั้งโลกกำลังรู้สึกว่า

ปัจจุบันเหี่ยวเฉา อนาคตก็เอาแน่นอนไม่ได้

ใครจะกล้าหรืออยากลงทุนเพิ่ม

หรือถ้าจะลง เขาก็คงเลือกเฟ้นเป็นพิเศษ

และถ้าเขาจะลงทุน จะมาลงที่บ้านเราเหมือน 30-40 ปีก่อนไหม

ถามอีกทีว่า วันนี้เรามีอะไรพิเศษกว่าเพื่อนบ้านรอบข้างตรงไหนหรือ

ถึงคิดว่าเขาจะหอบเงินมาลงทุนในประเทศที่เสถียรภาพการเมืองต่ำ (เพราะฉีกกติกากันง่ายๆ หรือมีกติกาน่าเกลียดน่าชัง)-การขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำ

นอกจากลดแลกแจกแถม (ด้วยภาษีชาวบ้าน) ขนานใหญ่ (เรื่องบีโอไอพลัสนี่ได้พูดกันอีกยาว)

ใคร-ท่านไหนที่ยังหวังแบบลมๆ แล้งๆ ว่าจะมีปาฏิหาริย์เข้ามาช่วยให้เศรษฐกิจ-ปากท้องคนไทยดีขึ้นได้ในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า

ตื่นจากฝันได้แล้ว

แต่ถามว่าทางรอดทางออกยังมีหรือไม่

มีครับ-ถ้าตั้งต้นถูก

ยังไง

เอาที่รัฐบาลในฐานะหัวเรือใหญ่ก่อน

เมื่อสองสามวันก่อนนี้ คุณเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการบริษัท แสนสิริ หนึ่งในผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำเขียนบทความลงใน “มติชนรายวัน”

ชื่อเรื่องยาวหน่อย แต่ตรงประเด็นว่า “อย่าได้ยินแต่เรื่องที่อยากได้ยิน จดหมายถึงท่านนายกฯ ประยุทธ์”

หัวใจของเรื่องอยู่ที่ว่า ธรรมชาติของอำนาจนั้นทำลายตัวเอง

เพราะจะได้ยินแต่เสียงเยินยอ-สอพลอจากรอบข้าง

ถ้าตั้งต้นด้วยการเปิดกว้างรับฟังเสียงที่แตกต่าง ข้อมูลที่หลากหลาย จากคนตัวเล็กตัวน้อย จากคนที่ประสบปัญหาแท้จริงในสังคม

ไม่เอาแต่ “ถูกครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับนาย สบายครับท่าน”

ถึงจะขัดหูบ้างในตอนแรก แต่จะเป็นประโยชน์แก่อำนาจและสังคมนั้นเองในบั้นปลาย

ลองหาอ่านย้อนหลังบทความเต็มๆ ได้ทั้งในออนไลน์และฉบับพิมพ์

แต่ประเด็นของเรื่องก็คือ ไม่ง่ายและไม่บ่อยนะครับ ที่นักธุรกิจระดับพันล้านหมื่นล้านจะออกมาทักท้วง ทัดทาน และช่วยเตือนสติผู้มีอำนาจ

ถ้าไม่รู้สึกว่าวิกฤตรายล้อมรอบตัวอยู่ และทางที่เดินไปข้างหน้ามีแต่จะไถลลงสู่หุบเหวแห่งหายนะ (ของส่วนรวม)

อยู่ๆ ใครอยากกระตุกหนวดเสือ

สําคัญว่ารัฐบาลหรือท่านนายกรัฐมนตรีอยากจะ “ตื่น” ขึ้นมารับฟัง ข้อเท็จจริงที่ขัดหูหรือแสลงใจเหล่านี้หรือยัง

ในเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา พิสูจน์ความเป็นจริงได้อย่างหนึ่งว่า

ทำมาทั้งหมดก็ได้แค่นี้

จะมีวิธีอื่น วิถีอื่นที่ดีกว่า แตกต่างออกไปหรือไม่

หรือยังฝันอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ ว่าที่พันอยู่รอบคอนั้นคือผ้าแคชเมียร์นุ่มละไม

ทั้งที่คนทั่วไปเห็นอยู่ชัดๆ ว่านั่นมันบ่วงเชือกรัดคอ

รัดคอท่านยังไม่เท่าไหร่

รัดคนส่วนใหญ่สิ้นลมไปด้วยนี่สิ

เสียงร้องทักถึงระงมได้ปานนี้