ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 สิงหาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
ไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “ระยะเร่งด่วน” ของรัฐบาลที่ออกมาเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว คือ
แจก-แจก-แจก แล้วก็แจก
คิดเป็นตัวเงินจริงๆ ประมาณ 100,000 ล้านบาท
ที่เหลือเป็นวงเงินสินเชื่อที่ให้ธนาคาร-หน่วยงานของรัฐมาช่วยถูๆ กันไปอีก 200,000 ล้าน
รายละเอียดว่าแจกอะไร อย่างไร ลองอ่านในมติชน-ข่าวสด-ประชาชาติธุรกิจ เถอะครับ
เขาคงลงไว้หมดแล้ว
ขออนุญาตสรุปสั้นๆ ว่า
– แจกเงินให้ไปเที่ยวคนละ 1,000 บาท บวกสิทธิประโยชน์อย่างอื่น
– เพิ่มเงินคนจนจากเดือนละ 500 เป็น 1,000 บาท
คําถามที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากคนเห็นมาตรการ “ประคอง” ภาวะเศรษฐกิจนี้แล้วก็คือ
จะได้ผลจริงหรือ
นี่ไม่ได้เป็นคำถามที่เกิดจากอคตินะครับ
แต่มาจากสมมุติฐานที่ว่า นโยบายหรือแนวทางที่ทำมาแล้ว 5 ปียังไม่ค่อยเห็นมรรคเห็นผลเท่าไหร่
ทำไมถึงคิดว่าจะได้ผลในปีที่ 6
ปีที่สถานการณ์ยิ่งย่ำแย่เลวร้ายกว่าปีไหนๆ
คำถามต่อเนื่องก็คือ รัฐบาลไม่เห็นหรือไม่ตระหนักหรือว่า การแจกเงินแบบเบี้ยหัวแหลกหัวแตกอย่างนี้ ไม่ได้เกิดมรรคผลอะไรในทางเศรษฐกิจ
ไม่ได้ทำให้เกิดการหมุนเวียนขึ้นจริงๆ
โดยเฉพาะในระดับรากหญ้าหรือระดับสูงขึ้นมากว่านั้นหน่อย
หมุนอยู่รอบเดียวแล้วก็เข้าไปอยู่ในคลังของเจ้าสัวใหญ่-บริษัทใหญ่กันหมด
บริษัทใหญ่เอาเฉพาะในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีสถิติว่าจ่ายปันผลกันให้ผู้ถือหุ้นสะดือบวมร้อยละ 45 ของกำไร
แต่เอาไปลงทุนต่อแค่ร้อยละ 5
ธุรกิจเอกชนไม่ขยายงาน ไม่ลงทุนเพิ่ม ไม่ผลิตของเพิ่ม
มันจะเอาอะไรมาหมุนมาเคลื่อนไหว
ถามต่อว่า แล้วทำไมเอกชนถึงไม่ลงทุน
อันนี้แหละน่าสนใจ
การลงทุนในเมืองไทยชะงักงันมาหลายปี
เงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาเมืองไทยน้อยที่สุดในภูมิภาค
บริษัทใหญ่ๆ กลางๆ ในเมืองไทยก็ไม่ได้ลงทุนขยายงานหรือปรับเปลี่ยนการผลิต (แต่กินปันผลพุงปลิ้นอย่างที่บอกข้างต้น)
ส่วนหนึ่งเพราะหลายกิจการถูกผูกขาด ไม่มีการแข่งขัน กินกำไรสบายๆ อยู่แล้ว ต้องลงทุนเพิ่มทำไม ตัดเงินที่จะลงทุนบางส่วนไปเป็นค่า “น้ำมันหล่อลื่น” ก็พอแล้ว
อีกส่วนหนึ่งเพราะไม่แน่ใจในสถานการณ์เมืองไทย
ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แต่เรื่องเศรษฐกิจอย่างเดียว
การเมืองก็ตัวดี
ใครบ้างอยากจะลงทุนในประเทศที่กติกาบิดๆ เบี้ยวๆ (ไม่เชื่อดูจากการเลือกตั้ง หรือวิธีการนับหัว ส.ส. ไปจนกระทั่งถึงวิธีการจัดตั้งรัฐบาล)
ยิ่งเจอรัฐบาลปริ่มน้ำ แถมทำอะไรสะดุดขาตัวเองอยู่ทุกวัน
ใครอยากลงทุนในประเทศแบบนี้
ตบท้ายด้วยการเสนอความเห็นเสียหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าดีแต่ด่าหรือหาเรื่องติ
ถามว่าถ้าไม่อยากให้เงินที่แจกไปกลายเป็นเบี้ยหัวแหลกหัวแตก
แล้วจะแจกกันยังไง
ต้องออกตัวก่อนเลยว่านี่ขโมยความคิดมาจากคุณธนินท์ เจียรวนนท์
ที่เขามองภาคเกษตรซึ่งมีประชากรอยู่ในนั้น 18 ล้านคนอย่างเป็นระบบ
ตามข้อมูลของรัฐบาลเอง ปัจจุบันรายได้ต่อหัวต่อปีของเกษตรกรอยู่ที่ประมาณ 74,000 บาท/ครอบครัว
หรือเฉลี่ยวันละ 50 บาท/คน
ถามว่ารายได้อย่างนี้จะอยู่กันยังไง
อยู่ไม่ได้ครับ
เจ้าสัวซีพีแกเสนอว่า เกษตรต้องมีรายได้อย่างน้อยเท่ากับแรงงานในเมือง
วันนี้คือ 300 บาท/วัน
วิธีการก็คือ ดูสถิติการผลิตเกษตรแต่ละตัวว่าอะไรที่ล้นเกิน
ถ้าเกินก็ “จ้างให้เลิกผลิต” ไปเลย
แกยืนยันว่าใช้เงินน้อยกว่าประกันราคา/รับจำนำเป็นไหนๆ
เกษตรกรที่เลิกทำงานภาคเกษตรที่ไม่มีที่ดินจะได้มีทุนไปทำอย่างอื่น
หรือคนที่มีที่ดินก็ให้คนอื่นเช่าไปทำ เป็นรายได้อีกทาง
(รายละเอียดมากกว่านี้อยู่ในหนังสือที่สำนักพิมพ์มติชน เขาจะพิมพ์ขายในงานมหกรรมหนังสือเดือนตุลาคมนี้ แต่ถ้าท่านไหนสนใจจะมาขออ่านเป็นตัวอย่างก่อนก็ได้-ขออนุญาตใช้พื้นที่ขายของเสียด้วยเลย-555)
ข้อเสนอของคุณธนินท์จะทำได้หรือไม่ หรือมีข้อบกพร่องตรงไหนเป็นเรื่องถกเถียงกันได้
แต่ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับนโยบายแจกเงินแบบเบี้ยหัวแหลกหัวแตกก็คือ
จะแจกเงินทั้งที ก็ให้มี “เป้าหมาย” หน่อย
ถ้าไอ้ที่ทำมา 5 ปีมันไม่เกิดมรรคผลอะไร
จะไม่เปิดหูเปิดตาเปิดโลก ลองวิธีการใหม่ๆ บ้างหรือ
ทำไมยังดื้อทำแบบเดิม
ทั้งที่รู้ว่าทำแล้วก็ได้ผลเหมือนเดิม
ทำไม?