ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 สิงหาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
ช่วงปลายสัปดาห์ระหว่างที่เมืองไทยกำลังอุตลุดตะลุมบอนกันอยู่ด้วยเรื่องการแถลงนโยบายของรัฐบาล
และมี “ดราม่า” สารพัดเกิดขึ้นมากมาย
นอกสภาก็มีข่าวประดังประเดเกี่ยวกับเมืองไทยเข้ามาหลายเรื่องด้วยกัน
หยิบๆ จับๆ มาปะมาชุนต่อเป็นเรื่องได้ดังนี้
กรณีแรก สำนักข่าวบลูมเบิร์กของสหรัฐจั่วหัวว่า ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศแถวหน้าของตัวอย่าง “ทั้งแก่-ทั้งจน” ในเวลาอันไม่ช้า
เอาเป็นว่าสักประมาณ ค.ศ.2030 หรือ พ.ศ.2573
คืออีก 11 ปีจากนี้
จะว่าใกล้ก็ไม่ ไกลก็ไม่ แล้วแต่จะบริหารเวลาอย่างไร
เหตุผลของเขาก็คือ เมื่อถึงปีนั้นผู้สูงอายุในเมืองไทย (นับว่าอายุ 60 ขึ้นไป) จะมีจำนวนถึง 1 ใน 4 ของประชากรทั้งหมด
ในขณะที่อัตราการเกิดของไทยอยู่ในระดับร้อยละ 1.5 ที่ถือเป็นอัตราเกือบจะต่ำที่สุดในโลกมาหลายปี
คนแก่ (ที่ส่วนใหญ่ฐานะทางเศรษฐกิจไม่ดี-แปลว่าจนนั่นแหละ) เพิ่ม เด็กไม่เพิ่ม แปลว่ากำลังการผลิตจะน้อยลง
จะเอาอะไรมาหล่อเลี้ยง
บลูมเบิร์กเขียนตรงๆ ว่า ตั้งแต่รัฐประหารสองครั้งหลัง ปี 2549 แผนการรับมือสังคมอายุ (และจน) นั้นทำกันเหมือนผักชีโรยหน้า
และรัฐบาลใหม่ที่ชุมนุมกันถึง 19 พรรคการเมือง ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ทำอะไรเพื่อรับมือเรื่องนี้
ทางออกหนึ่งของปัญหาก็คือการเปิดรับแรงงานต่างชาติให้มากขึ้น จากปัจจุบันที่แรงงานต่างชาติ (ที่บันทึกได้) มีจำนวนร้อยละ 10 ของจำนวนแรงงานทั้งหมดอยู่แล้ว
ใครบางคนที่เพิ่งชี้นิ้วโวยวายเรื่องแรงงานต่างชาติ
จะรับได้ไหมหนอ?
เวลาไล่เลี่ยกัน
เพิ่งได้อ่านงานวิจัยของศูนย์เทคโนโลยีและวัสดุแห่งชาติ ที่นำข้อมูลพยากรณ์อากาศมาประยุกต์เข้ากับผลกระทบด้านอื่นๆ โดยเฉพาะการเกษตร
ท่านระบุว่า อุณหภูมิเฉลี่ยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น 1.5-2.0 องศาเซลเซียส ภายใน 40 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ ระดับอุณหภูมิสูงสุดในช่วงเวลากลางวันอาจจะสูงขึ้น 2.0-4.0 องศาเซลเซียส
ซึ่งส่งผลให้ลักษณะมรสุมและปริมาณนํ้าฝนเกิดการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีผลกระทบต่อปริมาณและคุณภาพผลผลิตทางการเกษตรของไทยในหลายพื้นที่
รวมถึงการกระจายตัวของโรคพืชไปในพื้นที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
จึงมีความเสี่ยงสูงที่ผลผลิตทางการเกษตรจะเกิดความเสียหายคิดเป็นมูลค่าประมาณการมากกว่าร้อยละ 25 ภายใน 50 ปีข้างหน้า
สำหรับประเทศที่ยังมีคนอยู่ในภาคเกษตร 25-30 ล้านคน
และประกาศนโยบายจะเป็นครัวของโลก
นี่มันวิกฤตชัดๆ
ล่าสุดการจัดอันดับ The Global Innovation Index 2019 หรือดัชนีนวัตกรรมโลก ที่จัดทำขึ้นโดยสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาขององค์การสหประชาชาติ
พบว่า จาก 129 ประเทศทั่วโลก สวิตเซอร์แลนด์ครองแชมป์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 สวีเดนตามมาเป็นอันดับ 2
จีนขึ้นมา 3 ขั้นจบที่อันดับ 14 ตามหลังฮ่องกงที่มาในอันดับ 13 ส่วนญี่ปุ่นอยู่ที่อันดับ 15
ส่วนประเทศไทยปีนขึ้นไป 1 อันดับ จาก 44 ไปที่ 43 แต่ยังตามหลังเวียดนามที่ได้อันดับ 42
แต่ 3 ปีที่ผ่านมา เพื่อเรากระโดดขึ้นมาถึง 17 อันดับ
ดัชนีนวัตกรรมโลกพิจารณาจากดัชนีชี้วัด 80 ประเภท ตั้งแต่การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา ปริมาณการยื่นขอจดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้า
ไปจนถึงดัชนีชี้วัดใหม่ๆ อย่างการสร้างแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ และการส่งออกสินค้าไฮเทค
ประเทศที่ปัจจุบันอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำกว่าเพื่อนบ้านรอบข้าง (ยกเว้นสิงคโปร์-ซึ่งต้องไม่ลืมว่ารายได้ต่อหัวของเขาสูงกว่าเรา 9 เท่า คือ 64,528 เหรียญ/คน/ปี กับ 7,274 เหรียญ/คน/ปี กันชนรับแรงกระทบขนาดมันผิดกัน)
มองไปอนาคตยังจะแพ้เขาอีก
มันจะไปกันยังไง
เอาสองสามเรื่องข้างต้นขยำรวมกัน แล้วเรื่องก็ย้อนกลับมาย่อหน้าแรก
คือถึงเห็นด้วยว่าจะโยนให้แต่รัฐบาลซีกเดียวไม่ได้
เรือมันต้องพายต้องงัดกันทั้งลำพร้อมกันถึงจะไปเร็ว
แต่ในฐานะนายท้ายหรือผู้กุมบังเหียน (ที่กระโดดเข้ามาเอง ไม่ได้มีใครเอาเสลี่ยงไปหามมา)
รัฐบาลก็ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้
จะบอกว่ามีนโยบาย (ที่เลื่อนๆ ลอยๆ เคลือบคลุม ไม่ชัดเจนในทางปฏิบัติ) แต่อย่างเดียวไม่ได้
ไม่บอกว่าจะปฏิบัติอย่างไร-อะไร-เมื่อไหร่
ไม่ได้
นี่ถ้าเป็นแผนธุรกิจของบริษัท นอกจากตีตกแล้วบอร์ดต้องไล่ผู้บริหารออกทั้งชุดด้วย
แล้วระดับประเทศนะครับ
ตบท้ายด้วยคำคมของ “สไปเดอร์แมน” ที่ยืมวินสตัน เชอร์ชิล (ซึ่งยืมนักการเมืองเก่าอังกฤษ ที่ขโมยมาจากฝรั่งเศสอีกที) ว่า
“อำนาจที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง”
จริงไหม