ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 พฤษภาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ไปอ่านบทความชิ้นหนึ่งใน “ไฟแนนเชียล ไทม์ส”
อ่านแล้วผู้มีอายุใกล้วัยเกษียณในโลกดั้งเดิม (คือ 60 ปี) เกิดอาการกระชุ่มกระชวยขึ้นมา
ก็เลยอยากให้คนอื่นในวัยใกล้เคียงกัน คึกคักกระฉับกระเฉงขึ้นมาบ้าง
ขออนุญาตถอดความบางส่วน (และเขียนเองเพิ่มเติมบางส่วน) มาไว้ที่นี้
โลกปัจจุบันและในอนาคตอันใกล้ คือโลกของผู้อาวุโส (คืออายุเกิน 60) มากขึ้นไปทุกที
ด้วยสองสาเหตุที่รู้ๆ กันอยู่
– ช่วงอายุของคนยืนยาวขึ้น
– อัตราการเกิดที่ต่ำลง
คนรุ่นใหม่น้อยลง คนรุ่นเก่าตายยากขึ้น
คนแก่ (และใกล้จะแก่) ก็ยังครองโลกต่อไป
แต่การผุดขึ้นมาของประชากรกลุ่มอายุเกิน 60 ทำให้โลกซับซ้อนกว่าที่เห็นด้วยตาเปล่าเยอะ
เอาเบื้องต้น ที่พูดกันถึงมากที่สุดก่อน
คือจะแก่อย่างไรไม่ให้เป็นภาระ-อย่างน้อยในสองเรื่อง
– สุขภาพ
– การเงิน
แน่นอนว่าปัจเจกแต่ละท่านต้องมีความรับผิดชอบตัวเองในระดับหนึ่ง
แต่ทั้งหมดนั้นโทษปัจเจกอย่างเดียวไม่ได้
สังคม-รัฐก็ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย
เรามีสถานที่ มีกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของคนส่วนใหญ่พอเพียงหรือยัง
ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในสังคมมากน้อยขนาดไหน
ปิดกั้นโอกาสที่แต่ละคนจะสะสมทุน เพื่อดูแลตัวเองในยามชรา หรือยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของลูกหลานหรือไม่
ถ้าสังคมไหนแก่ก่อนรวย (ซึ่งสังคมไทยก็มีแนวโน้มที่ว่านี้)
เราจะดูแลกันและกันอย่างไร
ผลวิจัยชี้ว่า คนอายุเกิน 60 ในสหรัฐและอังกฤษที่ยังไม่ยอมเกษียณอายุนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
สอดคล้องกับผลวิจัยอื่นๆ ที่ชี้ว่า สุขภาพ-การใช้ชีวิตของคนอายุ 60 หรือเกินกว่าในวันนี้
ดีขึ้นและแตกต่างจากคนอายุรุ่นเดียวกันเมื่อ 30 ปีก่อนอย่างเห็นได้ชัด
คนอายุเกิน 60 ที่เป็นโรคความจำเสื่อมลดลง 1 ใน 5
ขณะที่ผลวิจัยของกลุ่มประเทศ OECD พบว่า อายุที่จัดเป็นช่วง “กลางคน” ของประชากรในกลุ่มขณะนี้คือ 70 กว่าๆ
จำนวนผู้สูงวัยที่อายุเกิน 65 เพิ่มขึ้น 20 เท่าในช่วง 1970-2011 เมื่อเทียบกับช่วง 1841-1970
แต่ที่มาพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของผู้สูงวัย
คือจะทำอย่างไรไม่ให้คนเหล่านี้เป็น “ภาระ”
คำตอบง่ายๆ ก็คือ ต้องหางานให้ทำ
ตามความเชื่อดั้งเดิม บริษัททั้งหลายไม่ค่อยอยากจ้างงานลูกจ้างที่อายุ 50 ปีขึ้นไป
เพราะเชื่อว่าคนเหล่านี้ “ดื้อ” บ้าง หรือปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงได้ยากบ้าง
แต่วันนี้หลายอย่างเปลี่ยนไป
ฮาร์วาร์ดบิสิเนสสรีวิว ตีพิมพ์บทความว่า
โดยอายุเฉลี่ยของเจ้าของกิจการสตาร์ตอัพที่ประสบความสำเร็จในสหรัฐนั้นอยู่ที่ 45 ปี
หรือถ้าถอดกลุ่มที่ประกอบกิจการเกี่ยวกับโซเชียลมีเดียออกไป ตัวเลขเฉลี่ยนี้จะขยับขึ้นเป็น 47 ปี
คนกลุ่มนี้ประสบความสำเร็จมากกว่ากลุ่มเจ้าของกิจการอายุน้อย
ที่บีเอ็มดับเบิลยู ผลผลิตของบริษัทเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 ขณะที่อัตราความเสียหายลดจากร้อยละ 7 เหลือร้อยละ 2
หลังจากบริษัทเปลี่ยนนโยบายมารับพนักงานพาร์ตไทม์ในสายการผลิตที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
พร้อมทั้งนำเครื่องจักรเข้ามาทดแทนในส่วนงานที่รับน้ำหนักเกินกำลังคน
แล้วให้คนทำงานละเอียดมากขึ้น
และในช่วงประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา
อายุผู้หญิงในโลกเฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณ 25 ปี ส่วนผู้ชายเพิ่มขึ้นประมาณ 20 ปี
ปัจจัยหลักนอกจากวิทยาการทางการแพทย์แล้ว
ยังเพราะ
– โภชนาการที่เปลี่ยนไป
– การบริโภคยาสูบที่ลดลงในช่วง 20 ปี
– การออกกำลังกายหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะกับผู้สูงวัย
– ทัศนคติต่อชีวิตที่เริ่มเปลี่ยนไปของผู้สูงอายุเอง ที่เชื่อว่าตัวยังสามารถเป็นประโยชน์ให้ผู้อื่นได้
ฯลฯ
ในจำนวนนี้สุภาพสตรี (หรือที่บุรุษแต่งงานแล้วเกรงใจที่สุดคือภรรยานั้น) อายุเฉลี่ยมากที่สุด อยู่ที่ญี่ปุ่น คือเกือบ 90 ปี
มาดามชาวฝรั่งเศสตามมาติดๆ
และใน 10 ประเทศอันดับบนสุดที่ผู้หญิง-ผู้ชายอายุเฉลี่ยสูงสุด
ผู้หญิงไม่มีต่ำกว่า 85
ผู้ชายไม่ต่ำกว่า 80
หลังอ่านบทความนี้จบ ก็สรุปเอาเองดื้อๆ ว่า
ถึงโลกวันหน้าทำท่าจะยังเป็นโลกของผู้สูงวัย
แต่ปัญหาหลักก็ยังอยู่ที่ ทำอย่างไร การอยู่ร่วมกันของความแตกต่าง (ทั้งความต้องการตามวัย ทัศนคติ ความเชื่อ การดูแลซึ่งกันและกัน) จะเป็นไปอย่างราบรื่น
คนแก่อิทธิพลมากกว่าแต่ว่าผูกขาดโลกไว้ไม่ได้
เด็กแรงมากกว่า-เสียงดังกว่า แต่ว่าจะเปลี่ยนโลกได้แค่ไหน
น่าสนใจนะครับ
โดยเฉพาะในสังคมไทย
วกมาจนได้สิน่า-555