ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 พฤษภาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
ช่วงก่อนประกาศผลการเลือกตั้ง การเมืองเข้ามาวุ่นวายกับเรื่อง “สื่อ-ถือหุ้นสื่อ” กันให้อุตลุดชุลมุน
ถึงขั้นมีผู้พยากรณ์ว่า ถ้าใช้กฎหมายกันแบบ “ตาเถร” อย่างที่ผ่านมา
ดีไม่ดี จะซ้ำรอยหนังอเวนเจอร์ส-เอนด์เกมส์ ที่คนจะหายไปครึ่งจักรวาล
วุ่นเสียขนาดนี้ ในฐานะที่ทำมาหากินอยู่ในอาชีพสื่อ จะไม่พูดถึงเรื่องนี้กับเขาบ้าง
ก็จะให้เกียรติอาชีพตัวเองน้อยไป
ประเด็นที่อยากประกาศเป็นเจตนารมณ์เบื้องต้นข้อแรกเลยก็คือ
กฎหมายห้ามนักการเมืองถือหุ้นสื่อนั้น เชย
ไม่จำเป็นจะต้องมีก็ได้
และการเกิดขึ้น-ดำรงอยู่ของกฎหมายฉบับนี้ ก็เหมือนกฎหมายอีกหลายๆ ฉบับที่อุบัติขึ้นเพราะ
เห็นคนเป็นคนไม่เท่ากัน
ถ้าเคารพคนอื่นเหมือนที่เคารพตัวเอง จะเกิดกฎหมายเลอะเทอะแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไร
ในประเทศที่ “อารยะ” แล้ว หรือประชาธิปไตยลงหลักปักฐานมั่นคงแล้ว
มีใครเขามีกฎหมายพิลึกพิสดารอย่างนั้นบ้าง
ยิ่งในโลกยุคใหม่ที่ข่าวสารข้อมูลแพร่กระจาย
นักการเมืองคนไหนไปถือหุ้นสื่อไหน คิดหรือว่าชาวบ้านจะไม่รู้
สื่อไหนเชียร์พรรคหรือนักการเมืองไหนออกนอกหน้า มีหรือชาวบ้านจะอ่านไม่ออก
วอชิงตันโพสต์-นิวยอร์กไทม์ส ไม่ชอบขี้หน้าโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องปิดบังอะไร
ขณะที่ฟอกซ์เชียร์ทรัมป์ออกนอกหน้า ก็ไม่เห็นจะต้องเขินอายอะไร
เอาให้กันให้ชัดเจนกันไป
แล้วให้ชาวบ้านตัดสินใจเอง
ว่าจะเลือกเชื่อหรือไม่เชื่อใคร
สำคัญว่าขอให้เปิดจริง
ก็ถ้าตัวเอง-หมายถึงผู้ร่างกฎหมาย คนผลักดันกฎหมาย ยังแยกแยะออก
คิดได้ยังไงว่าคนอื่นเขาจะแยกไม่ออก
และถามจริงๆ เถอะ ที่ห้ามไม่ให้นักการเมืองถือหุ้นสื่อนั้น
เอาเข้าจริงแล้วห้ามไม่ให้เชียร์กันได้หรือ
ไม่ให้คนเรามีโอกาสเลือกว่าจะชอบ-ไม่ชอบอะไร
หรือไม่คิดบ้างหรือว่า ไม่ถือหุ้นกันตรงๆ ก็อุดหนุนกันด้วยวิธีการอื่นได้
แทนที่จะมีกฎหมายเชยๆ เพื่อเอาไว้จับผิดกันอย่างนี้
ส่งเสริมให้เสรีภาพในการรับรู้ข่าวสารของชาวบ้านเพิ่มขึ้นดีกว่าไหม
ทำให้การตรวจสอบของสังคมเข้มแข็งขึ้นดีไหม
มีแต่กฎหมายเพิ่มอำนาจให้เจ้าหน้าที่
โอกาสที่จะ “เละ” อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็เพิ่มมากขึ้น
หรือไม่จริง
แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ เมื่อออกมาใช้บังคับกันแล้ว ยังแก้ให้กลับไปอยู่ในจุดที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายแบบพลิกฝ่ามือไม่ได้
ถามว่าจะทำให้กฎหมายที่ว่านี้มีประโยชน์ที่สุดสำหรับคนส่วนใหญ่
หรืออย่างน้อยที่สุดก็คือ เลวร้ายน้อยที่สุดได้อย่างไร
ตอบแบบหลักการก็ต้องบอกว่า อยู่ที่ผู้บังคับใช้กฎหมายจะมีจุดยืน-ท่าทีอย่างไร
มีกฎหมายประหลาดๆ มาแล้ว จะไปห้ามไม่ให้สมาชิกในสังคมซึ่งมีความแตกต่างหลากหลาย ตั้งแต่เทพบุตรไปจนถึงซาตาน ใช้กฎหมายอย่างเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้นั้น
ฝันไปเถอะ
สำคัญว่าคนที่ถือกฎหมายอยู่ต้องไม่เอียง ไม่เพี้ยน ไม่เลอะเทอะไปด้วย
หรือถ้าเผลอเอียงไปแล้ว พลาดไปแล้ว
ก็แก้ไขเสียให้ถูกต้องเที่ยงตรง มันจะยากอะไรหนักหนา
ถ้าเอาหลักการ-ความถูกต้องขึ้นต้น หน้าตาศักดิ์ศรีเป็นเรื่องรองลงไป
เผลอๆ สังคมอาจจะน่าอยู่มากขึ้นกว่านี้หลายเท่า
หรือที่พูดกันว่าทางตัน-ทางตันนั้น
เอาเข้าจริงอาจจะเห็นทางออก-ทางเลือกใหม่ๆ
เพราะไม่ตั้งใจที่จะเดินหน้าเข้าตรอกตันก็ได้
ใครจะรู้
กฎหมายนั้นมีไว้เพื่อทำให้บ้านเมืองสงบสุข-เป็นระเบียบ
ถ้ามีกฎหมายแล้วบ้านเมืองปั่นป่วนวุ่นวาย ถ้าการบังคับใช้กฎหมายยิ่งทำให้สังคมอลหม่าน
ต้องกลับมาตั้งคำถามกันแล้วว่า
เราจะมีกฎหมายพรรค์นั้นไว้ทำไม
หรือเราใช้กฎหมายพรรค์นั้นเพื่อการสร้างสรรค์หรือทำลายล้างสังคม
ถามตัวเองจริงๆ ดูสักทีเถิด