ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 - 22 ธันวาคม 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ขึ้นเชียงใหม่ไปร่วมฟังงานสัมมนาประจำปีครั้งสุดท้ายของหนังสือพิมพ์ “ประชาชาติธุรกิจ”
ที่ปีนี้มีโครงเรื่องหลักอยู่ที่ “ความเปลี่ยนแปลง”
มิตรรักแฟนประจำคงจำได้ว่าเมื่อไม่กี่สัปดาห์นี้เอง ที่ท่านอาจารย์วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ท่านให้ความกรุณาไปพูดเรื่อง “ทศพิธราชธรรมกับการบริหาร”
และฉายภาพของกรอบความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเอาไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
เพื่อไม่ให้วนซ้ำเดิม งวดนี้เนื้อหาจึงออกมาในเชิงเศรษฐกิจแลธุรกิจล้วนๆ
ประเด็นหลักของความเปลี่ยนแปลงที่คืบคลานเข้ามานั้นมีอยู่ 2 ด้านใหญ่ๆ ด้วยกัน
ด้านแรกคือวิทยาการ-โดยเฉพาะด้านการสื่อสารและปัญญาประดิษฐ์ ที่ปรมาจารย์ “กระทิง” เรืองโรจน์ พูนผล ย่อโลกมาให้ดูอีกรอบ
เนื้อหารายละเอียด “ประชาชาติธุรกิจ-มติชน-ข่าวสด” เขาสรุปไว้ให้แล้วละครับ ลองหาอ่านดู
แต่ที่คุณกระทิง และ “คุณโจ้” ธนา เธียรอัจฉริยะ อีกหนึ่งในวิทยากรท่านย้ำเอาไว้เป็นแก่นแกนหลักของอภิปรายหนนี้ก็คือ
ช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงใหญ่ทุกครั้งในโลก ไม่ว่าเปลี่ยนแปลงในเรื่องไหน
คือเวลาของการลุกขึ้นสู้
ไม่สู้ก็ตาย
เมื่อแม่น้ำเปลี่ยนทิศเสียแล้ว ป่วยการจะไปนั่งรอว่าเมื่อไหร่น้ำจะหวนกลับมา
อะไรที่ต้องเปลี่ยนก็เปลี่ยน
อะไรต้องทิ้งก็ทิ้ง
ถ้าดูภาพซีกวิทยาการแล้วห่อเหี่ยว เพราะยังนึกไม่ออกว่าประเทศไทย สังคมไทยจะเดินตามโลกทันเมื่อไหร่
วิทยากรท่านอื่นๆ ท่านมาให้ความหวังว่า “โลกนี้ใช่อยู่ด้วย มณี เดียวนา”
เพราะถึงวิทยาการทั้งหลายจะล้ำยุคล้ำสมัยเปลี่ยนแปลงอย่างไร
อย่างหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปด้วยก็คือธรรมชาติวิสัยและกิเลสของมนุษย์
ยังรัก โลภ โกรธ หลงอยู่เหมือนเดิม-ถ้ายังเป็นปุถุชนด้วยกัน
ท่านเลขาธิการสภาพัฒน์ ปรเมธี วิมลศิริ และท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ปวิณ ชำนิประศาสน์
มาในประเด็นเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย
นั่นคือให้ข้อมูลพื้นฐานและปัญหาของเชียงใหม่และจังหวัดในภาคเหนือตอนบนเอาไว้
พร้อมกับตั้งคำถามถึงความพร้อมในการลุกขึ้นมาเผชิญหน้า แก้ปัญหา และก้าวไปข้างหน้า
ทั้งของประชาชน พ่อค้านักธุรกิจในพื้นที่ ข้าราชการ
รวมไปถึงภาครัฐโดยส่วนรวม
และที่มาให้ตัวอย่างเป็นรูปธรรมว่า
ถึงวิทยาการจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร แต่ถ้าเข้าใจมนุษย์ด้วยกันเสียแล้ว
วิทยาการก็เป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์รับใช้
หาใช่เจ้าชีวิตเราไม่
ก็คือ “คุณบุ๋ม” บุณย์ญานุช บุญบำรุงทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟู้ดแพชชั่น
พูดชื่อบริษัทอาจไม่รู้จัก แต่ถ้าบอกว่าบาร์บีคิว พลาซ่า คราวนี้ร้องอ๋อ
ผู้ประกาศตัวชัดเจนว่าทำธุรกิจด้วยการยึดเอา “ใจ” ของมนุษย์-ไม่ว่าจะพนักงานหรือลูกค้า-เป็นแกนหลัก
และ “คุณไอซ์” ธีรศานต์ สหัสสพาศน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกรรมการผู้จัดการบริษัท JM Cuisine หรือชื่อเดิมว่าก๋วยเตี๋ยวเจ๊กเม้งแห่งเพชรบุรี
ผู้พิสูจน์แล้วว่า สำหรับผู้มีปัญญานั้น ต่อให้ยื่นมือไปในอากาศก็หยิบเงินออกมาได้
ไม่ใช่เล่นกลแบบ “สัตยา ไสบาบา” ในยุคหนึ่งด้วย
สองนักธุรกิจรุ่นใหม่ให้ความหวังกับคนรุ่นก่อนหน้าว่า
ถ้าประเทศนี้มีคนที่ใส่ใจคนด้วยกันมากขึ้น
มีธุรกิจที่คำนึงถึงเพื่อนร่วมงาน ถึงลูกค้า และสังคมในวงกว้างมากขึ้น
อนาคตของสังคมหรือประเทศนี้ก็คงไม่เลวร้ายนัก
และเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า ถึงจะเริ่มจากธุรกิจเล็ก ร้านห้องแถว
แต่ถ้าสนใจในรายละเอียด ทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง และปฏิบัติต่อเพื่อนร่วมงานด้วยกันเยี่ยงมนุษย์ผู้มีใจสูงพึงปฏิบัติต่อกัน
ความสำเร็จก็อยู่แค่เอื้อมได้
อย่างที่กราบเรียนแล้วว่า รายละเอียดเนื้อหาของการสัมมนา ลองติดตามหรือค้นหาเอาจากหนังสือพิมพ์หลักทั้งสามฉบับเถิด
บัญชรนี้มีหน้าที่สรุป และยั่วให้น้ำลายหก เพื่อไปตามหาอ่านเท่านั้น
ยั่วกันไม่ขึ้น ไม่ใช่ความผิดของท่านผู้อภิปรายหรือผู้นำเสนอ
แต่เป็นของคนยั่วเอง