ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 กุมภาพันธ์ 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
องดีมีอยู่
โบราณท่านใช้คำว่า “พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก” กับเวลาที่จะเกิดเรื่องเกิดราวในทางร้าย ทางไม่สบายใจอะไรขึ้นมา
ว่าเคราะห์มักจะไม่ได้มาเดี่ยวๆ
แต่มาเป็นชุด
คล้ายๆ กับกรณีของท่านผู้มีอำนาจทั้งหลายในสังคมไทยช่วงนี้
เรื่องแรก เขียนก่อนที่ท่านจะเอากฎหมายเรื่องข้าวเข้าสู่การพิจารณาของ สนช. ในวาระที่ 2 ในวันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์
เลยไม่รู้ว่าเรื่องจะออกหัวออกก้อยอย่างไร
รู้แน่ๆ แต่ว่า เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องดันไปขุดให้เป็นเรื่องขึ้นมา ในช่วงเวลาที่ไม่ควรเป็นเรื่องที่สุด
ถ้าแม่น้ำ 5 สายเป็นพวกเดียวกันจริง หัวหน้า คสช.ที่ควบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย ไม่เรียกคนที่เป็นต้นตอของเรื่องนี้มาเขกกะโหลกแรงๆ แล้วให้ถอนเรื่องออกไป
ก็แปลว่าเอาเข้าจริงแล้วที่บอกว่ารัฐบาลไม่รู้เรื่อง-ถึงขนาดที่รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ ออกมาคัดค้านกฎหมายฉบับนี้
เป็นแค่การเล่นละครฉากหนึ่ง
ถ้าขนาดชะตากรรมของชาวนาที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ยังเล่นกันเป็นละคร
จะให้เข้าใจเรื่องอื่นอย่างไร
เรื่องต่อมา กรณีเลิกหรือไม่เลิกใช้พาราควอต ซึ่งมีผู้มีส่วนได้เสียจำนวนมาก
ในแง่ของผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ยกเลิกพาราควอตภายใน 2 ปีนั้นเป็นเรื่องดีอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่คำถามไม่ใช่อยู่ที่ว่า บริษัทค้าปุ๋ยค้ายาตุนสารเคมีชนิดนี้เอาไว้มากน้อยแค่ไหน
แต่อยู่ที่ ถ้าประกาศยกเลิกแล้ว มีมาตรการจะช่วยเหลือเกษตรกร-ชาวนาในการจัดการกับศัตรูพืช-วัชพืชอย่างไรบ้าง
ให้ลุล่วงไปได้ในเวลา 2 ปี
บริษัทเกษตรหรืออุตสาหกรรมเกษตรขนาดใหญ่ ที่มีเงินทุนเครื่องไม้เครื่องมือนั่นก็แล้วกันไป
แต่เกษตรกรรายเล็กรายน้อยทั้งหลายที่ทุนน้อย เครื่องมือไม่มี
รัฐจะเอื้อมมือเข้าไปช่วยเขาอย่างไร
เพื่อให้เขาไม่ต้องใช้สารเคมี ไม่ต้องเผานาเผาไร่ที่เป็นต้นตอของปัญหาอีกหลายๆ อย่าง
ของแบบนี้พูดเฉยๆ ไม่ได้ ต้องมีมาตรการให้เห็นว่าพร้อมจะลงมือทำด้วย
และถามจริงๆ เถอะ จากทั้งเรื่องกฎหมายข้าวมาจนถึงพาราควอต-ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน
ทำไมต้องรีบร้อนทำกันเหลือเกิน
ไม่คิดจะเหลืออะไรเอาไว้ให้สภาที่มาจากตัวแทนประชาชนได้คิดได้ทำกันบ้างเลยหรือ
ทำไมต้องเร่งทำในช่วงที่การตรวจสอบของสังคมอ่อนแอ
และเรื่องสุดท้ายที่ทำท่าว่าจะอาการหนักที่สุดก็คือ “หนักแผ่นดิน”
จากข้อเสนอของมนุษย์หลุดโลกไม่กี่คน กลายเป็นเรื่องที่ได้รับการสนับสนุนจากคนใหญ่คนโตในรัฐบาล ในราชการในกองทัพ
ท่านๆ เหล่านั้นต้องการอะไร
แน่นอนว่าสำหรับหลายท่าน เพลงเหล่านี้คือ “เพลงปลุกใจ” ทำให้เกิดความฮึกเหิม เกิดความรักชาติ ปลุกให้เลือดสูบฉีดไหลแรง
จนอาจลืมไปว่าเพลงเดียวกันนี้ สำหรับคนจำนวนไม่น้อย คือสัญลักษณ์ของการ “ล้อมฆ่ากลางเมือง” ที่โหดร้ายทารุณที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของเมืองไทย
ที่จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้มีการสะสางความยุติธรรม ความถูกผิดให้ชัดเจนโปร่งใส
และยังเป็นแผลในใจของญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิต-ผู้สูญหายที่ไม่ได้รับการเยียวยารักษา
แม้ว่าเวลาจะผ่านไปกว่า 40 ปีแล้ว
การรื้อฟื้นบรรยากาศที่เคยแบ่งแยกสังคมไทยให้แตกออกเป็นสองขั้ว (หรือร้ายกว่านั้นก็คือแตกออกเป็นเสี่ยงๆ) ขึ้นมาอีกหนนั้น
ทำไปด้วยเจตนาอะไร
มองในแง่ดีที่สุดก็คือ ทำไปด้วยเจตนาดี แต่ขาดสำนึกทางประวัติศาสตร์ ขาดความละเอียดอ่อนที่จะคำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่นส่วนอื่นในสังคม
โดยเฉพาะฝ่ายที่เป็นผู้สูญเสีย
มีแต่จะสร้างผลร้ายมากกว่าผลดี
ที่คิดว่าจะทำให้กลับมา “ผนึก” รวมกันได้เป็นปึกแผ่นแน่นหนา
อาจจะได้ผลในทางตรงข้าม
นี่ขนาดยังไม่มองโลกในแง่ร้ายนะว่า ทำลงไปด้วยเจตนาอื่น
ถ้าเป็นอย่างหลัง จะจริงหรือไม่-ไม่รู้
แค่คนส่วนหนึ่งเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น
ก็ยุ่งกว่านี้อีกหลายเท่าแล้ว