ฐากูร บุนปาน : การไม่เลือกตั้งสิครับเป็นเรื่อง “ผิดปกติ”

สมแล้วที่กรุงเทพฯ เป็น “เมืองในหมอก”

ไม่นับหมอกจริงๆ ที่ปล่อยกันเอาไว้ถึงตาย และไม่รู้จะลงมือแก้ไขยังไง-เมื่อไหร่ (เรื่องหมอกนี่เอาไว้พูดจริงจังกันรอบหลัง)

แต่ยังเหมือนเมืองในหมอกที่ทุกคนมะงุมมะงาหรา ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน

จะเดินหน้า ถอยหลังก็ไม่รู้ว่าจะไปขึ้นสวรรค์ ลงนรก

หรือจะตกเหว

เลยยืนมันนิ่งเป็นศพเสียอย่างนั้น

เพราะผ่านหนึ่งสัปดาห์เข้านี่แล้ว

คนไทยส่วนใหญ่ (เผลอๆ ก็บรรดาผู้มีอำนาจทางการเมืองการปกครองด้วยนี่แหละ) ยังไม่รู้ว่าจะเอายังไงกับการเลือกตั้ง

หรือจะเลือกตั้งกันได้เมื่อไหร่

พูดอย่างนี้ใครอย่ามาหาว่า “คลั่งเลือกตั้ง” อีกนะครับ

แค่จะบอกว่า การเลื่อนแล้วเลื่อนอีก จนกระทั่งพูดไม่เป็นพูด

และความอึมครึมไม่แน่นอน ในเรื่องที่ควรจะต้องแน่นอน (เสียตั้งนานแล้ว)

มันไม่เป็นผลดีกับใครเลย

โดยเฉพาะกับ “ลุงๆ” ผู้มีอำนาจทั้งหลาย

ลองนึกสภาพลุงๆ กลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะ พูดอะไร ตะโกนให้คอหอยแตกแค่ไหน คนก็หัวเราะเยาะใส่หน้า บอกว่าพูดโกหกดูสิครับ

หรือดูปฏิกิริยาของชาวบ้าน ทั้งในโลกจริงและโลกเสมือนที่มีต่อความไม่แน่นอนในเรื่องการเลือกตั้งนี่สิครับ

ใครคิดว่าเป็นคุณกับท่านลุงทั้งหลายบ้าง

และที่สำคัญก็คือ การออกมาเรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง

หรือเรียกร้องให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างชัดเจน-โปร่งใส

นี่ไม่ใช่ “ความคลั่ง” นะครับ

ถ้ายังจะอยู่ในระบอบประชาธิปไตย การเลือกตั้งนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา

การไม่เลือกตั้งสิครับเป็นเรื่อง “ผิดปกติ”

ถ้าไปเผลอคิดว่าความปกติเป็นความไม่ปกติ หรือเป็นความคลั่งอะไร

แล้วไปนับเอาความไม่ปกติให้มาเป็นความปกติ

อันนั้นมนุษย์ทั่วไปเขาเรียกว่าวิปริต

โชคดีที่คนไทยจำนวนไม่น้อยยังไม่วิปริตไปด้วย

(ถึงจะมีท่านที่วิปริตอยู่บ้างก็ให้ทำใจ เป็นเรื่องของคนหมู่มาก ที่ต้องมีอะไรหรือใครที่ไม่ปกติอยู่บ้าง)

ปฏิกิริยาการตอบรับในเรื่องการเลือกตั้ง จึงเป็นไปอย่างที่มนุษย์ปกติพึงจะมี

คือท่านที่มีสำนึกมีกำลังมากหน่อย ก็ออกมาเป็นปากเป็นเสียง ทวงเสรีภาพทวงสิทธิขั้นพื้นฐานนี้ ทั้งเพื่อตัวเองและคนอื่นๆ ในสังคม

ท่านที่มาไม่ได้ก็กำหนดในใจเอาไว้อย่างเงียบๆ

ว่าถึงวันเลือกตั้งจะต้องทำอะไรบ้าง

และถ้าไม่หลอกตัวเองกันเกินไปนัก

ก็ต้องตระหนักรู้ตัวว่า อันที่จริงสังคมไทยนั้น “ไม่ปกติ” (หรือจะใช้คำอื่นที่ระดับแรงกว่านี้ขึ้นไปอีกสักขั้นสองขั้นก็ไม่ผิดอะไร) มาอย่างน้อย 5 ปี 10 ปีแล้ว

แทนที่จะช่วยให้ความเป็นปกติกลับคืนมา

ดันผ่าจะไปทำให้ความเป็นปกติกลายเป็นความไม่ปกติ

ไปทำให้ความชัดเจนโปร่งใสกลายเป็นความอึมครึมความไม่แน่นอน

ไปทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก

ไปทำเรื่องที่ไม่ควรถูกต่อว่าหรือตำหนิให้คนมารุมด่า

ท่านคิดอะไรของท่านกันอยู่

ลำพังอากาศและบรรยากาศของเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครที่กลายเป็น “เมืองในหมอก” ไปแล้วอย่างเต็มตัวก็ชวนให้หดหู่อยู่แล้ว

ไม่ต้องเพิ่มระดับของความบีบคั้นอารมณ์เพิ่มขึ้นมาให้อีกโดยไม่จำเป็น

ทำเหมือนไม่รู้ว่าความผิดปกตินั้นไม่เคยทำให้เกิดผลที่เป็นปกติ

หวังว่าเมื่อ “มติชนสุดสัปดาห์” ฉบับนี้วางตลาด บรรยากาศเมืองในหมอกทางการเมืองจะค่อยๆ คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น

เพราะถ้าไม่ดีขึ้น ก็แปลว่าต้องแย่ลง

แย่ลงสำหรับทุกคน

และแย่มากๆ สำหรับท่านผู้มีอำนาจทั้งหลาย

ที่จะยิ่งรู้สึก “หวิวๆ” อยู่ในใจ ว่าอำนาจที่เคยคิดว่ามั่นคงนั้น

เอาเข้าจริงแล้วเหมือนฟันที่โยกเพราะรากผุเน่าเต็มที

ไม่ต้องถึงมือหมอ เอาแค่ด้ายผูกแล้วโยงกับประตู กระชากทีเดียวก็หลุด

แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อละครับ

เพราะธรรมชาติของอำนาจที่ไหนๆ ในโลก

ก็เป็นอย่างนี้เหมือนกันทั้งนั้น