ฐากูร บุนปาน l เลือกตั้งที่ “สกปรกที่สุด” ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

เกิดไม่ทันเลือกตั้ง 2500 ครับ

เคยแต่อ่านหนังสือเอา

เขาเล่ากันว่า เป็นเลือกตั้งที่ “สกปรกที่สุด” ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

เป็นที่มาของศัพท์ “พลร่ม-ไพ่ไฟ”

คือโกงกันแบบดื้อๆ ทั้งอุ้มหีบบัตรไปเปลี่ยน หรือยัดบัตรลงคะแนนที่กา (ให้ฝ่ายมีอำนาจไว้แล้ว) ลงไป

และเป็นที่มาของการประท้วงใหญ่โดยนิสิต นักศึกษา ประชาชน

จนเป็นชนวนให้จอมพล ส.ธนะรัชต์ ใช้เป็นข้ออ้างทำรัฐประหารจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในปลายปีเดียวกัน

การเลือกตั้งหลังจากนั้น

ถึงจะมีการเปิดโปง-โวยวายว่าฝ่ายผู้มีอำนาจใช้อำนาจไม่เป็นธรรม

หรืออาศัยการที่อยู่ในตำแหน่งให้เป็นประโยชน์-ได้เปรียบคู่แข่ง

ก็ไม่เคยมีครั้งไหนโจ๋งครึ่มเท่าหนนี้

ท่านผู้อาวุโสในโรงพิมพ์คนหนึ่งปรารภขึ้นมาในวงกาแฟว่า นี่คือการใข้อำนาจอย่าง “เปิดเผย” ที่สุดที่เคยเห็นมาในระยะหลัง

ใช้กันแบบไม่กระมิดกระเมี้ยน

ใช้แบบไม่ต้องปิดต้องบัง

ใช้กันอย่างหน้าชื่นตาบาน

ยอมรับอย่างเปิดเผยว่า กติกา “ดีไซน์” มาให้

ดูดก็ดูดกันแบบให้รู้ๆ ว่าดูด

หรือถึงเวลา “ประชานิยม” ก็กลายเป็น “วิเศษนิยม” อัดฉีดกันจนมโหฬารได้

พอถึงเรื่องเขตเลือกตั้ง ก็ยังขีดแบ่งออกมาได้อย่าง “พิสดาร”

(พิสดารกว่าสมัยเลือกตั้ง 2544-ที่ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย แล้วขีดแบ่งเขตใหม่เพื่อให้ประชาธิปัตย์ได้เปรียบ แต่สุดท้ายก็ยังแพ้ย่อยยับให้กับไทยรักไทยที่เพิ่งเกิดใหม่)

คือให้ชัดๆ กันไปว่าเพื่อให้พรรคของตัวเองได้เปรียบพรรคคู่แข่ง

นี่ยังไม่รู้ว่าต่อไปจะมีกลยุทธ์อะไรออกมาอีก

เป็นการใช้ “อำนาจ” (ไม่ว่าจะตามกฎหมาย พลังเงิน และอำนาจที่มองไม่เห็น) แบบงัดออกมาทั้งหมด

ไม่มีกั๊ก ไม่มีเผื่อ ไม่ต้องมีก๊อกสอง

รบกันแล้วต้องเอาให้ตายกันไปข้าง

และที่โหดไม่น้อยไปกว่าการใช้อำนาจ ก็คือ “ท่าที” ของท่านผู้ใช้อำนาจ

โดยเฉพาะเวลาที่มีผู้ติติง-ทักท้วง ว่าการใช้อำนาจนั่นไม่เป็นธรรม ไม่ชอบธรรม

แทนที่ท่านจะถือคติโบราณว่า คนชี้ข้อบกพร่องคือคนชี้ขุมทรัพย์ให้

กลับโกรธเกรี้ยวเป็นฟืนเป็นไฟ กล่าววาจาผรุสวาท ให้เป็นเรื่องซ้ำขึ้นมา

ถึงจะให้บริษัทบริวารมาออกตัวทีหลัง

ก็ไม่ทันแล้ว

ความผิดครบองค์ประกอบสมบูรณ์ไปแล้ว

เพราะเรื่องนี้รัฐบาล-คสช.ปัด-ปฏิเสธความรับผิดชอบอะไรไม่ได้

เนื่องจากก่อนนี้เพียงไม่กี่วัน รัฐบาล-คสช.เพิ่งออก ม.44 มาให้ กกต.ยืดเวลาในการประกาศเขตเลือกตั้งออกไปได้

พอยืดออกไป แล้วเขตที่แบ่งออกมาวิตถาร-พิสดารอย่างนี้

จะให้คนอื่นเข้าใจอย่างไรได้

พอเขาติติง-ทักท้วงก็ออกงิ้วใส่

มันยิ่งซ้ำสองซ้ำสาม

คําถามก็คือ

มีความจำเป็นหรือมีเดิมพันสูงลิบลิ่วขนาดไหน ถึงได้

1. ต้องใช้อำนาจทุกอย่างที่มีแบบหมดหน้าตัก

และ

2.หงุดหงิดกราดเกรี้ยวเวลามีคน “รู้ทัน” ขนาดนี้

ลงทุนถึงขนาดนี้ ต่อให้ชนะ ผลที่ได้จะคุ้มกันหรือไม่

ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ใช้อำนาจขนาดนี้ แสดงอารมณ์ยิ่งเกรี้ยวกราดขนาดนี้

เอาเข้าจริงแล้วจะส่งผลดีหรือผลเสียมากกว่าเมื่อถึงการเลือกตั้ง

เมื่อการใช้อำนาจแบบไม่บันยะบันยังก็ดี ปะทุอารมณ์ที่ออกมาก็ดี

ล้วนมีนัยแสดงให้เห็นถึง “การไม่เห็นหัวชาวบ้าน”

ถ้าเคารพกัน เห็นว่าคนอื่นเสมอกัน

จะทำอะไร จะพูดอะไรก็ต้องมีความเกรงอกเกรงใจกันบ้าง ไม่มากก็น้อย

ไม่ใช่ทำอะไรตามใจ (และตามผลประโยชน์) ตัวเองอย่างนี้

แต่ก็นั่นแหละ

นาทีนี้ยังไม่มีใครพยากรณ์ผลการเลือกตั้งได้ใกล้เคียงความจริง

มีแต่เดาๆ กันไปทั้งนั้น

ยิ่งกับฝ่ายที่ได้รับการยกให้ว่าเป็นต่ออย่างพรรคของรัฐบาล-คสช.

ประเด็นที่ควรพิจารณามีแค่ว่า แล้วชาวบ้านจะคิดยังไง

รับได้ไหมกับการใช้อำนาจแบบสุดขั้วขนาดนี้

ชาวบ้านไทยพร้อมจะรับ “อะไรก็ได้”” ขอแต่ให้อิ่มปากสบายท้องแบบชนชั้นสูง (ที่ไปสมาทานกับรัฐประหาร เพราะผลประโยชน์เต็มหมัดกว่า) หรือไม่

หรือจะ “เหม็นหืน” กับอำนาจ

24 กุมภาพันธ์ ครับ-รู้แน่

อย่าเผลอไปเลื่อนหรือไปเลิกเข้าแล้วกัน

เดี๋ยวจะหนักข้อกว่าเดิม