ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
ผู้เชี่ยวชาญทางการเมืองบางท่านให้คำจำกัดความการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมาถึงในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ว่าเป็น
“สงครามครั้งสุดท้าย”
สุดท้ายของใคร
คำตอบคือ สุดท้ายของสองขั้วใหญ่ที่ประจันหน้ากันในการเมือง ทั้งบนโต๊ะ ใต้โต๊ะ มายาวนานร่วม 10 ปี
แล้วมีส่วนไม่มากก็น้อยที่ทำให้สังคมไทยหน้าตาพิกลพิการอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้
ด้านหนึ่ง
สำหรับนายทหารระดับสูงของ คสช. ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการรัฐประหาร 2557
จะเพราะสถานการณ์บังคับในขณะนั้น หรือด้วยความเพลินในอำนาจ (ที่ค่อนข้างเต็มเปี่ยมในช่วงแรกหลังการรัฐประหาร)
คณะทหารชุดปัจจุบันแหกและแหวกกฎของผู้ทำรัฐประหารมาแทบทุกครั้งในเมืองไทย
คือไม่ยอม “ทำน้อย ถอยเร็ว” (ขออนุญาตยืมศัพท์ของคุณบรรยง พงษ์พานิช เอามาใช้หน่อย เพราะกระชับและได้ใจความที่สุด)
แต่เลือกที่จะปักหลักอยู่ยาวนาน
อย่างน้อยก็เท่ากับหรือนานกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
โดยลืมธรรมชาติไปว่า อำนาจนั้นเริ่มต้นด้วยการกัดกินคนอื่น
แล้วสุดท้ายก็แว้งกลับมากัดแทะตัวเอง
อาการ “เบื่อ” ผู้มีอำนาจ แม้กระทั่งจากฝ่ายที่เคยเป็นมิตรกันมาก่อนการรัฐประหารเมื่อ 4-5 ปีก่อน เป็นประจักษ์พยานที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด
ในสถานการณ์ที่อำนาจก็ง่อนแง่น และการอยู่ยาวย่อมมีอะไรต่อมิอะไรโผล่แพลมมาให้สืบสาว
หนทางเดียวที่จะป้องกันตัวเองได้
ก็คือ ต้องสืบทอดอำนาจต่อไป
ถามว่าฝันนี้จะเป็นจริงได้แค่ไหนเมื่อต้องลงมารบในสนามที่ไม่ใช่ความถนัดของตัว
(ต่อให้ดูดนักรบพื้นที่ทั้งหลายมาเป็นกระบุงก็เถอะ)
หรือกล้าประกาศว่าไม่เสียว ไม่รู้สึกอะไร?
อีกด้านหนึ่ง
เป็นสงครามครั้งสุดท้ายของกองเชียร์คนสำคัญที่ทำให้เกิดการรัฐประหารขึ้นมา
ทั้งหน 2549 และ 2557
เพราะการจะสร้างสถานการณ์เพื่อนำไปสู่การรัฐประหารนั้น ต้องลงทุนลงแรง
และที่สำคัญที่สุดคือใจกล้า
กล้าทำในเรื่องที่สุ่มเสี่ยงต่อกฎหมาย
ดังปรากฏให้เห็นในรูปของคดีกบฏในราชอาณาจักรบ้าง ก่อการร้ายบ้าง ฯลฯ ที่ยาวเป็นหางว่าว
ต่อให้ลากถูกันขนาดไหน คดีเหล่านี้ก็มีวันที่จะต้องถึงจุดที่ถูกหยิบยกมาพิจารณาจนได้
ถามว่า ถ้าลมการเมืองเปลี่ยนทิศ
ความยุติธรรมต้องเดินหน้าแบบลูบไปแล้วไม่เจอจมูกใคร
อนาคตของท่านเหล่านี้จะเป็นอย่างไร
ท่านไม่ใส่เต็มตัว (ไม่ว่าจะบนดินใต้ดิน) กับการเลือกตั้งครั้งนี้ได้หรือ
และด้านสุดท้าย
ด้วยอายุขัยและทรัพยากร รวมไปถึงข้อจำกัดของการกดปุ่มสั่งการจากทางไกล
นี่ก็สงครามครั้งสุดท้ายของ “ทักษิณ ชินวัตร” อีกเช่นกัน
ชนะหนนี้ แม้ไม่รับประกันว่าจะกลับมาเป็นรัฐบาล มีอำนาจเต็มมือเหมือนเก่า
อย่างน้อยก็มี “ยันต์กันผี ไม้กันหมา” ไม่ให้คนมากระทืบเล่นง่ายๆ เหมือนอย่างในหลายปีที่ผ่านมา
แต่ถ้าแพ้หนนี้ เผลอๆ อาจไม่มีโอกาสได้ตะกายกลับขึ้นมาจากหลุมที่คนอื่นเขาพยายามขุดไว้ให้อีกเลย
คำถามก็คือ จุดอ่อนที่สุดของฝ่ายทักษิณอันได้แก่ข้อหา “ล้มเจ้า”
จะสามารถขจัดปัดเป่าไปได้ไหม
จะมีอะไรที่ทำให้ข้อหานี้จางหายสลายไป หรือเบาบางลงจนไม่มีน้ำหนักได้หรือไม่
ในฐานะ “เจ้าพ่อแห่งการเลือกตั้ง”
พึงจับตาความเคลื่อนไหวของ “ฝ่ายทักษิณ” เอาไว้แบบไม่กะพริบตา
ทั้งหมดนี้คือเดิมพันของผู้เล่นคนสำคัญในสนาม
ซึ่งยังไม่มีคำตอบว่า ใครจะได้-ใครจะเสีย
หรือได้ด้วยกันทั้งคู่ เสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย
เพราะเมื่อการเลือกตั้งมาถึง เสียงของชาวบ้านย่อมเป็นใหญ่ ย่อมเป็นผู้ชี้ขาด
อำนาจอธิปไตยที่หายไปเป็นเวลาร่วม 7-8 ปี หนนี้จะชี้ไปฝั่งไหน
จะมอบความไว้วางใจให้ใคร
เลือกตั้งเมื่อไหร่ก็ได้รู้
เมื่อทุกฝ่ายต่าง “จัดหนัก”
ทั้งเรื่องเอาใจชาวบ้าน ทั้งโดยเปิดเผยและลับๆ
และเรื่อง “เสียบ” ฝ่ายตรงข้าม (อันนี้แบบลับๆ แน่นอน)
ใครจะอึดอยู่ถึงวันเลือกตั้ง
ยังสงสัย