ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 กันยายน 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
ติดตามคณะ “นายกอ๋า” พงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ จากเทศบาลยะลา และท่านผู้บริหารดีแทค
มาดูงานปลูกเมล่อนแบบ “สมาร์ต ฟาร์มเมอร์” ที่ “บ้านสวนเมล่อน” อำเภอบ้านโพธิ์ ฉะเชิงเทรา เมื่อวันก่อน
เรื่องเริ่มต้นจากการนั่งปรับทุกข์ของท่านนายก
ว่าด้วยการยกระดับความเป็นอยู่ของชาวบ้าน
ซึ่งร้อยละ 70 ของคนยะลาคือเกษตรกร
ในวันที่ยางพาราภาคใต้ไม่เห็นอนาคต เกษตรกรจะเดินต่อทางไหน
บอกท่านว่าหลายๆ บริษัทใหญ่เขามีโครงการยกระดับความสามารถในการประกอบการของเกษตรกรแบบจริงจัง
ท่านสนใจ
ติดต่อดีแทค ท่านตอบสนองอย่างว่องไว
เป็นที่มาของการมาดูหนึ่งในเกษตรกรตัวอย่างที่ดีแทคเขาดูแล-ร่วมมือกันพัฒนาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
คุณแก้ว เจ้าของสวน คนนครสวรรค์ มาทำงานอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์
สามีเป็นคนระยอง ทำงานที่โตโยต้าบ้านโพธิ์
จึงคิดจะลงหลักปักฐานที่ฉะเชิงเทรา
ซื้อที่ดินใกล้วัดประศาสน์โสภณ บ้านโพธิ์ เอาไว้ 4 ไร่ ตั้งใจจะปลูกบ้าน
ตอนแรกเริ่มจากปลูกผักสวนครัวทำกินกันเองก่อน
ทำแล้วเหลือ ขายได้
เลยเริ่มขยับขยายไปปลูกอื่นๆ
และพอทำแล้วก็ทำจริง
ขวนขวายไปอบรมความรู้ของกรมส่งเสริมการเกษตรบ้าง กรมวิชาการเกษตรบ้าง
ก่อนจะไปเจอว่าดีแทคเขามีโปรมแกรมสนับสนุนเกษตรกร ก็สมัครเข้าไป
คบหาดูใจ (คือดูความเอาจริงเอาจัง) กันอยู่พักหนึ่ง
พอเห็นว่ามีแวว และทำจริง
ดีแทคเขาก็ใส่ให้เต็ม
ใส่อะไร
1. ใส่ความรู้ ว่าด้วยระบบการจัดการ และข้อมูลที่จำเป็นทั้งการผลิต-การตลาด
2. ใส่เครื่องมือเครื่องไม้สมัยใหม่ เช่น เซ็นเซอร์วัดความชื้น ความร้อน และอุปกรณ์เชื่อมต่อเข้ามือถือ-คอมพิวเตอร์
เพื่อให้ทำงานระยะไกลได้
จากลองผิดลองถูก ปลูกแล้วเกลือจากน้ำกร่อย (ที่เค็มจัด) ลามขึ้นถึงยอด กินตายหมดทั้งโรงเรือน
วันนี้มี 17 โรงเรือน (เฉพาะเมล่อน) ปลูกหมุนเวียนกันไป
ได้รับการรับรองมาตรฐานจีเอพีว่าเป็นออร์แกนิกของแท้
มีเทคนิคควบคุมความหวานแบบเสมอภาคกันทุกลูก
แถมทำการตลาดออนไลน์
ตอนนี้เฉพาะส่งให้การบินไทยก็ล็อตละ 300 กิโล
หนึ่งโรงเรือนผลผลิตรอบหนึ่งประมาณ 280 ลูก
ขายได้ลูกละ 100 บาทเป็นอย่างต่ำ
ปีหนึ่งปลูก 4 รอบ
เพราะลงเมล่อนงวดหนึ่ง 72 วัน พักดินเตรียมดินครึ่งเดือน (ระหว่างนั้นก็ปลูกผักแทรกไปด้วย ไม่ให้เสียเปล่า)
บวกลบคูณหารกันเอาเถอะว่าหนึ่งโรงเรือนทำเงินเท่าไหร่ต่อปี
แล้ว 17 โรงจะเป็นเท่าไหร่
เพราะทำทุกอย่างเองกับมือ
(ทั้งฟาร์มทำกัน 3 พี่น้อง บวกคนงานอีก 2 เจ้าของบอกว่าปัญหาของการเกษตรไทยคือแรงงาน-คน ต้องเอาเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาจับ ลดการใช้แรงงานลง ทำตลาดให้พรีเมี่ยม ถึงจะไปรอด)
คุณแก้วแกจึงบรรยายฉาดฉาน
และสวนก็กลายเป็นฟาร์มตัวอย่างที่คนทะลักกันเข้ามาดูงาน
ชนิดโปรแกรมเต็มทุกวัน
เลยจัดเป็นที่ท่องเที่ยว ร้านกาแฟ ร้านอาหารแบบบ้านๆ (แต่อร่อย) รองรับไปด้วย
ยังไม่นับที่ต้องออกเดินสายบรรยายให้คนอื่นฟังบ้างแล้ว
น่านับถือ
และคงได้นับถือมากขึ้น
เพราะดูท่าเจ้าของสวนยังอยากทำอะไรต่อมิอะไรเพิ่มอีกเยอะ
คณะยะลาชอบใจ ชักชวนกันไปให้ลงใต้สักหนึ่งรอบ
ดีแทคบอกว่า ถ้าเครื่องไม้เครื่องมือที่ประยุกต์มาช่วยให้เกษตรกรกลายเป็นสมาร์ต ฟาร์เมอร์ ทำงานได้ดีจริง
อาจจะมีโครงการผลิตเครื่องมือชุดนี้ออกขาย เพื่อจะให้ราคาต่ำกว่าชุดละ 20,000 ให้ได้
อนาคตเกษตรไทย ส่วนหนึ่งอาจจะอยู่ที่ฟาร์มแปลงใหญ่
ที่ใช้ทุนและเครื่องจักรอย่างเข้มข้น
แต่อีกส่วนที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน (หรือจะสำคัญยิ่งกว่า) คือต้องทำให้เกษตรกรตัวเล็กยังมีที่ยืนในโลก
ต้องมีคนช่วยเหลือประคับประคอง ไม่ให้คนถอดใจเลิกเป็นเกษตรกรไปหมด
ยิ่งมีเกษตรกรรายย่อย (ที่เจ๋งๆ เรื่องแนวคิด วิธีการจัดการ รวมไปถึงการพัฒนาตัวเองเป็นผู้ประกอบการ คือหาตลาดได้ ควบคุมคุณภาพผลผลิตได้) มากขึ้นเท่าไหร่
ก็พอจะเห็นอนาคตเกษตรและสังคมไทยมากขึ้นเท่านั้น