ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 สิงหาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
แต่ที่สำคัญกว่าตึกระฟ้า ถนน ทางรถไฟ
ความสำเร็จที่น่าทึ่งที่สุดของจีนคือการฉุดประชาชนพ้นจากความยากจน
ปี 1980 รายได้เฉลี่ยของคนจีนร้อยละ 90 น้อยกว่า 2 ดอลลาร์สหรัฐ/วัน ปัจจุบันคนที่มีรายได้เท่านี้เหลือน้อยกว่าร้อยละ 3
รายได้ต่อหัวเฉลี่ยในรอบ 35 ปีเพิ่มขึ้นจาก 193 เป็น 8,100 ดอลลาร์สหรัฐ/ปี
โรเบิร์ต ซิลลิก ประธานธนาคารโลก เคยให้สัมภาษณ์ว่า
ในช่วงปี 1981-2014 จีนประสบความสำเร็จในการทำให้พลเมืองมากกว่า 500 ล้านคนพ้นกับดักความยากจน
“เป็นชัยชนะในการต่อสู้กับสงครามความยากจนครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ”
ไม่ใช่แต่ตัวเลขเศรษฐกิจ ดัชนีคุณภาพชีวิตอื่นๆ ของคนจีนก็ดีขึ้นทุกด้าน
ปี 1949 ปีแรกที่พรรคคอมมิวนิสต์ปกครองประเทศจีน อายุเฉลี่ยคนจีนคือ 36 ปี
ปัจจุบันอายุเฉลี่ยคนจีนคือ 76
ในปีโน้น 8 ใน 10 คนไม่รู้หนังสือ ในปีนี้ร้อยละ 95 ของคนจีนอ่านออกเขียนได้
ธนาคารโลกระบุว่า ถ้าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนยังอยู่ในระดับปัจจุบัน
ระดับการครองชีพของคนจีนจะดีขึ้น 100 เท่าในช่วง 1 อายุคน
ถ้าสหรัฐต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในแบบเดียวกัน
ต้องใช้เวลา 740 ปี
ดี อีโคโนมิสต์รายงานว่า ความมั่งคั่งส่วนบุคคลของเอเชียแซงหน้ายุโรปไปเรียบร้อยแล้ว
แน่นอนว่าด้วยพลังขับเคลื่อนของจีน
ประเด็นเรื่องมหาเศรษฐีจีนรวยบ้าเลือดยังไง-ความเหลื่อมล้ำก็ปัญหาแค่ไหน
ค้างเอาไว้เป็นการบ้านก่อนเช่นกัน
มาถึงเรื่องการศึกษา
เพียงชั่วคนก่อน จีนจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่อยู่ต่ำที่สุดในการศึกษาในสาขา STEM (Science-Technology-Engineering-Mathematics)
มาถึงปี 2015 ค่าเฉลี่ยในการสอบ PISA ของจีนคืออันดับ 6 ในด้านคณิตศาสตร์
ที่สหรัฐอยู่อันดับที่ 39
คะแนนเฉลี่ยของนักเรียนจีนสูงกว่าค่าเฉลี่ยของนักเรียนในกลุ่ม OECD
ปีเดียวกัน มหาวิทยาลัยซิงหัวแซง MIT ของสหรัฐขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยหมายเลขหนึ่งของโลกด้านวิศวกรรม-นี่จากการจัดอันดับของ US News & World นิตยสารของสหรัฐเอง
ใน 10 อันดับแรกของมหาวิทยาลัยด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมของโลก
มีมหาวิทยาลัยของจีนและสหรัฐอยู่ประเทศละ 4 แห่งเท่ากัน
นักศึกษาที่จบปริญญาตรีด้าน STEM ของจีนในจีนคือปีละ 1,300,000 คน เทียบกับปีละ 300,000 คนในสหรัฐ
ยังไม่นับนักศึกษาจีนอีก 300,000 คนที่ศึกษาด้านเดียวกันอยู่ในสหรัฐ
ส่วนแบ่งการตลาดของอุตสาหกรรมไฮเทคในตลาดโลกของจีนช่วงปี 2003-2014 เพิ่มจากร้อยละ 7 เป็น 27 ส่วนของสหรัฐตกจากร้อยละ 36 เหลือ 29
ปี 2019 จีนจะแซงสหรัฐขึ้นเป็นผู้นำด้านค้นคว้า-วิจัยของโลก
นี่ยังไม่รวมว่าจีนยังไม่ทิ้งนิสัยเดิมเรื่อง RD&T (Research development & Theft) นะครับ
ฮา
เอาเข้าจริง สหรัฐก็รู้สึกตัวและพยายามจะเคลื่อนไหวต่อสู้
ประธานาธิบดีโอบามาเซ็นคำสั่งตั้งโครงการยุทธศาสตร์คอมพิวเตอร์แห่งชาติก่อนพ้นตำแหน่งในปี 2015
แต่ช้าไปเสียแล้ว
เพราะปัจจุบันซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่พลังมากที่สุดในโลก ไม่ได้อยู่ที่ซิลิคอน วัลเลย์-แต่อยู่ที่จีน
ในจำนวนซูเปอร์คอมพิวเตอร์ 500 เครื่องที่เร็วที่สุดในโลก
ปี 2001 จีนไม่มีเลย แต่ปีนี้มี 167 เครื่อง-มากกว่าสหรัฐ 2 เท่า
ปี 2016 จีนมองไกลไปถึงโครงการดาวเทียมควอนตัมโน่นแล้ว
ที่สำคัญคือจีนไม่เคยลืมคำสอนของเหมาเจ๋อตงที่ว่า อำนาจงอกจากปากกระบอกปืน
เมื่อเศรษฐกิจขยายตัว กองทัพก็ขยายตาม ไม่ใช่แต่ในแง่กำลัง แต่ยังรวมถึงความ “ไฮ-เทค” ด้วย
งบประมาณด้านกลาโหมของจีนปีนี้คือ 146,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
น้อยกว่าสหรัฐชาติเดียวในโลก มากกว่ารัสเซียเท่าตัว
RAND บริษัทวิจัยระดับโลกประเมินว่าในปี 2017 ดุลทางการทหารของโลกเปลี่ยนไปแล้ว
เมื่อจีนได้เปรียบสหรัฐ “อยู่นิดๆ” จาก 6 ใน 9 ด้านถ้ามีสงคราม
เช่น การโจมตีเป้าหมายภาคพื้นดิน การโจมตีเป้าหมายทางอากาศ รวมไปถึงการป้องกันการโจมตีจากอวกาศ
เห็นข้อมูลอย่างนี้แล้ว คิดว่าจะเป็น Destine for War อย่างที่ผู้เขียนเขาตั้งสมมุติฐานไว้หรือไม่ครับ
ข้อมูลที่ (ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ แต่) ชี้ว่าดุลอำนาจของโลกเปลี่ยนแน่
ส่วนเปลี่ยนแล้วจะนำไปสู่อะไร
โปรดติดตามด้วยความระทึกในดวงหทัยพลัน