ฐากูร บุนปาน : สหรัฐจะทำใจและทำตัวอย่างไร? ถ้าตกจากบัลลังก์ลงมาเป็นที่2

ไม่ให้เสียเวลา ไม่ต้องเกริ่นว่า “พระธุดงค์ลงกลด”

เข้าเรื่องต่อจากตอนที่แล้วกันเลย

คุณ Allison เข้าตั้งคำถามไว้ว่า

สหรัฐจะทำใจและทำตัวอย่างไร ถ้าตกจากบัลลังก์ลงมาเป็นที่สอง

ด้วยการยกตัวเลขทางเศรษฐกิจมาชี้ให้เห็นว่า ขนาดเศรษฐกิจของจีนนั้นแซงหน้าสหรัฐไปตั้งแต่ปี 2014 นั่นแล้ว

ตัวเลขนี้เป็นของ IMF หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ที่ระบุว่าขนาดเศรษฐกิจของสหรัฐในปีนั้นคือ 17.4 ล้านล้านเหรียญ

ส่วนขนาดเศรษฐกิจของจีนในปีเดียวกันคือ 17.6 ล้านล้านเหรียญ

โดยระบุด้วยว่าในปี 2005 ขนาดเศรษฐกิจของจีนนั้นใหญ่แค่ครึ่งเดียวของสหรัฐ

แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างเจริญเติบโตต่อไปด้วยอัตราคงที่ของตัวเองเช่นนี้

ปี 2019 ขนาดเศรษฐกิจของจีนจะใหญ่กว่าสหรัฐร้อยละ 20

ในช่วงปี 1860-1913 ก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

สหรัฐก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจหมายเลขหนึ่งของโลกอย่างเงียบๆ ด้วยอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยร้อยละ 4 ต่อปี

แต่ถ้านับตั้งแต่ปี 1980 ที่เติ้งเสี่ยวผิงเริ่มนโยบายสี่ทันสมัย

อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนต่อปีเฉลี่ยคือร้อยละ 10

ถ้าใช้กฎของ 72 (กฎที่อธิบายว่าดอกเบี้ยทบต้นจะเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าในระยะเวลาเท่าไหร่) มาจับ

เศรษฐกิจของจีนจะขยายตัวสองเท่าทุกๆ 7 ปี

จาก 1980-2015 ผ่านไป 35 ปีเกิดอะไรขึ้น

ขนาดการนำเข้าของจีนที่เคยอยู่ร้อยละ 8 ของสหรัฐ ขึ้นมาเป็นร้อยละ 73

การส่งออกของจีนที่เทียบแล้วแค่ร้อยละ 8 ของสหรัฐ กลายเป็นร้อยละ 151

ทุนสำรองระหว่างประเทศ จากแค่ร้อยละ 16 ของสหรัฐ พุ่งขึ้นทะลุฟ้าเป็นร้อยละ 3,140

สหรัฐอาจจะเป็นประเทศต้นกำเนิดรถยนต์ และเป็นผู้ซื้อรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก

แต่ว่าตั้งแต่ปี 2015 จีนซื้อรถยนต์ 20 ล้านคัน มากกว่าสหรัฐ 3 ล้านคัน

และเป็นผู้บริโภคน้ำมัน-ใช้พลังงานรายใหญ่ที่สุดของโลก

ตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจลูกโป่งแตกในสหรัฐ หรือแฮมเบอร์เกอร์ ไครซิส เมื่อปี 2008

จีนกลายเป็นหัวรถจักรของเศรษฐกิจโลก

ร้อยละ 40 ของอัตรการเจริญเติบโตเศรษฐกิจของโลกเกิดขึ้นที่จีน

เวลาที่สื่อตะวันตกบอกว่าเศรษฐกิจจีน “ชะลอตัว” อัตราชะลอที่ว่าคือการขยายตัวร้อยละ 6-7 ต่อปี

ส่วนเวลาบอกว่าเศรษฐกิจสหรัฐ “ขยายตัว” ระดับการขยายที่ดีที่สุดคือร้อยละ 2.1

แล้วถามว่าแล้วช่วง 35 ปีที่ผ่านมาสหรัฐไปนอนหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นอยู่เสียที่ไหน

ฮิลลารี คลินตัน เคยเขียนไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติว่า ร้อยละ 80 ของเวลาการทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของเธอ

หมดไปกับการประชุม การเดินทาง และการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาตะวันออกกลาง

ซึ่งเธอเห็นว่า เมื่อมองย้อนหลังกลับไปแล้ว นี่คือความผิดพลาดครั้งใหญ่เพราะสหรัฐชะล่าใจ และใหญ่เพราะจีนก้าวกระโดดไปเร็วกว่าที่คิด

สุภาษิตโบราณที่บอกว่า “กรุงโรมไม่ได้สร้างในวันเดียว” อาจจะยังใช้ได้ แต่คงอีกไม่นาน

เพราะตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา พื้นที่และสิ่งก่อสร้างในจีนขยายตัวเท่ากับพื้นที่ของกรุงโรมในทุกๆ 15 วัน

หรือพูดอีกอย่างว่า กรุงโรมไม่ได้สร้างในวันเดียว-แต่ในสองสัปดาห์

เควิน รัดด์ อดีตนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียกล่าวว่า อัตราการเปลี่ยนแปลงสังคม-เศรษฐกิจจีนนั้น เหมือนการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษ ผนวกกับการปฏิวัติเทคโนโลยีของโลกยุคใหม่

แต่ใช้เวลาแค่ 30 ปี แทนที่จะเป็น 300 ปี

2011-2013 จีนใช้ซีเมนต์ในการก่อสร้างเท่ากับที่สหรัฐใช้มาทั้งศตวรรษที่ 20

2011 จีนสร้างตึก 30 ชั้นใน 15 วัน

2014 จีนสร้างตึก 57 ชั้นใน 19 วัน

ถึงวันนี้จีนสร้างถนนไปแล้ว 2.6 ล้านไมล์ ครอบคลุมพื้นที่ร้อยละ 95 ของประเทศ ในจำนวนนี้เป็นซูเปอร์ไฮเวย์ 70,000 ไมล์

สร้างทางรถไฟความเร็วสูงไปแล้ว 12,000 ไมล์ และมีแผนจะสร้างเพิ่มอีก 16,000 ไมล์เมื่อสิ้นปี 2029 ปีที่คาดว่ารถไฟความเร็วสูงเชื่อมลอสแองเจลิสกับซานฟรานซิสโก ซึ่งวางแผนมาตั้งแต่ปี 2008 จะเพิ่งเริ่มลงมือก่อสร้าง

ข้อมูลมาเต็มอย่างนี้

ดาวลูกไก่ต้องมีภาค 3 แล้วสิครับ