ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 มิถุนายน 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
เมื่อไม่กี่วันก่อน
ท่องโลกโซเชียลแล้วก็ไปพบว่ากิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการระลึกถึง 24 มิถุนายน 2475 ของปีนี้ เกิดขึ้นที่โน่นที่นี่หลายแห่ง
ก็เลยเกิดแรงบันดาลใจ อันเนื่องมาจากข้อสงสัยส่วนตัวว่า
ถ้าผ่านมา 86 ปี ประชาธิปไตยของไทยยังลุ่มๆ ดอนๆ
อีก 14 ปีข้างหน้า เมื่อประชาธิปไตยมาปักหมุดในเมืองไทยได้ 100 ปี
ประชาธิปไตยไทยจะเป็นอย่างไรหนอ?
โดยเฉพาะเมื่อประสบเข้ากับการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ 2-3 เรื่อง
เริ่มจากเทคโนโลยีก่อน
การแพร่กระจายของอินเตอร์เน็ต-ข้อมูล-ความรู้ ที่ลงไปถึงประชาชนได้ง่ายและกว้างขวางกว่าเดิม (ไม่ว่ารัฐจะชอบหรือไม่ หรือพยายามสกัดกั้นแค่ไหน แต่ธุรกิจและตลาดจะผลักดันเรื่องนี้อย่างเต็มที่)
บทบาทของรัฐจะเป็นอย่างไร
อาศัยเทคโนโลยีใหม่ เข้าไปล้วงตับ-ควบคุมประชาชนมากขึ้น
หรือจะถูกพลังของมดปลวกที่รว,กันแล้วมหาศาล กดดันให้รัฐเล็กลง-มีอำนาจน้อยลงไปเรื่อยๆ
ตัวอย่างง่ายๆ เรื่องเดียว
ระบบชำระเงินครับ
นี่คือหนึ่งในเครื่องมือที่รัฐใช้ในการกำกับ-ควบคุมสังคม (และสร้างให้คนรู้สึกว่าอยู่ร่วมเป็นสังคมเดียวกัน เพราะใช้เงินตราเดียวกัน) อย่างได้ผลที่สุด
แต่วันนี้เมื่อระบบชำระเงินกลายเป็นเรื่องที่ “มดปลวก” ทั้งหลายร่วมกันกำหนดขึ้นมาเองได้
ไม่ง้อรัฐ
สัดส่วนของรัฐในระบบการเงินของโลกใหม่จะเป็นเท่าไหร่
เพราะแม้แต่ “สกุลเงิน” ก็ไม่ใช่สินค้าที่ผูกขาดโดยรัฐอีกต่อไป
ผลอื่นๆ ทางเศรษฐกิจยิ่งมหาศาล
และส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่รัฐตามไม่ทัน
หรืออยากจะสกัดกั้น-ควบคุมก็ไม่มีปัญญา
เพราะปัญญาไหลออกไปอยู่กับเอกชนเป็นส่วนใหญ่
ปัญญามาก (และมีสตางค์) จะยอมอ่อนข้อให้กับปัญญาน้อยแต่คุมอำนาจไปอีกนานแค่ไหน
เทคโนโลยีในด้านหนึ่งจึงเป็นของแสลงสำหรับผู้ถืออำนาจรัฐ
ลองดูกรณีตัวอย่างที่สหรัฐและสหภาพยุโรป พยายามจะเข้าไปตีกรอบ-ควบคุม-ล้วงตับกูเกิลและเฟซบุ๊ก
แม้แต่ในจีน ที่รัฐกับบริษัทเอกชน (และเทคโนโลยี) เหมือนจะนัดกันหวานชื่น
ก็ไม่มีใครกล้ารับรองว่าความสัมพันธ์เช่นนี้จะยั่งยืนไปอีกนานแค่ไหน
เมื่อถึงเวลาที่ผลประโยชน์ไม่ลงรอย
แต่คำถามคือ รัฐที่ถืออำนาจอยู่ในมือ ไม่ว่าจะที่ไหนในโลก-รวมทั้งรัฐไทยด้วย
จะยอมหรือ
ประเด็นต่อมาคือความเต็มใจ-ความสามารถในการปรับตัวของสังคมไทย
อีก 14 ปีข้างหน้า บรรดาท่านที่มีอำนาจ-บทบาทอยู่ในการเมืองปัจจุบัน ส่วนใหญ่คงจะไปเข้าเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้กันหมดแล้ว
คนรุ่นต่อไปของสังคมไทย จะสืบทอดแนวคิดอนุรักษนิยม (ที่ออกอาการผุกร่อนเต็มที) ต่อไปอีกหรือไม่
ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ที่ผลักทุนใหญ่ให้เข้าไปแนบชิดกับอำนาจรัฐ
จะทำให้เกิดพลังในการรักษาโครงสร้างแบบเดิมต่อไป
หรือจะกลายเป็นการกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาจากสังคมส่วนใหญ่ จนผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ที่ทั้งเร็วและแรง
14 ปีจากนี้ไป การต่อสู้ทางอุดมการณ์จะเบาบางเจือจางลง
หรือจะยิ่งเข้มข้นรุนแรงขึ้น
ประการที่สาม ภูมิรัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ของรัฐต่อรัฐที่เปลี่ยนไป
เอาใกล้ๆ ก็เช่น เขตการค้าเสรีอาเซียน ที่มีแต่จะขยายขอบเขตกว้างขวางขึ้น เพราะรวมกันแล้วตลาดใหญ่พอเพียงสำหรับทุกคน
จะทำให้ขอบเขตอำนาจอธิปไตยเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
ขยับไปอีกนิดก็เรื่องอย่างการบินกับไอเคโอ ประมงกับไอยูยู หรือค้ามนุษย์กับการจัดอันดับของสหรัฐ
รัฐจะเปลี่ยนขนาด บทบาท โครงสร้าง หน้าตาไปอย่างไร
และโลกที่มีแนวโน้มว่าความเสี่ยงในการเกิดสงครามระหว่างมหาอำนาจอันดับหนึ่งและสอง (ถ้าเชื่อตามหนังสือขายดี Destine for war)
จะส่งผลและกำหนดทิศทาง-หน้าตาของรัฐไทยอย่างไร
คิดแค่นี้ก็ “เวียนหัว” แล้ว
แต่ความเปลี่ยนแปลง 3 เรื่องใหญ่ข้างต้นนี้
ไม่ชัดเจน ไม่เห็นว่ารัฐธรรมนูญหรือแผนยุทธศาสตร์ 20 ปีอะไรนั่นจะมารองรับแค่ไหน
กติกาที่ขึงตึงหรือเขียนขึ้นมาแบบตั้งธงไว้ก่อน แล้วค่อยหาเหตุผลข้อมูลมาประกบเนี่ย
มันจะใช้ได้จริงหรือ
หรือใช้แล้วจะลากเราถอยลงคลอง ไปหลังเขา มุดเข้าถ้ำไปถึงไหน
จะทำให้เราเดินหน้าอย่างผ่าเผยไปฉลอง 100 ปีประชาธิปไตยไทยหรือไม่
แล้วเราจะเอาอย่างไรกับมันดี
อุตส่าห์เพ้อไปถึงอนาคต 14 ปีข้างหน้า
มาจบแบบคนสายตาสั้น คือเล่นกันเรื่องซึ่งหน้าอีกจนได้
ฮ่าฮ่าฮ่า