ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 มิถุนายน 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
อยู่ๆ โดยฉับพลันทันใด การเมืองไทยหลังการเลือกตั้งที่ทำท่าจะเดินรอยตามตำนานอมตะของจีนอย่าง “สามก๊ก”
ก็เกิดมีตัวแปรใหม่ขึ้นมาเสียยังงั้น
ตัวแปรที่ว่านั้นชื่อพรรคอนาคตใหม่
ก่อนจะมีพรรคอนาคตใหม่ และฝ่ายทหารที่กุมอำนาจทางการเมืองอยู่ในปัจจุบัน ทำท่าเหมือนต้องการจะจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา
ใครต่อใครก็คาดการณ์ว่าการเมืองหลังการเลือกตั้งจะแยกออกเป็นสามก๊กใหญ่
พรรคทหารและผู้สนับสนุนคือโจโฉ-วุ่ยก๊ก คุมอำนาจทั้งเงินและปืนเอาไว้มากกว่า
ส่วนที่ว่าเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ ใครจะเป็นเล่าปี่-จ๊กก๊ก หรือซุนกวน-ง่อก๊ก อันนั้นให้ไปตกลงกันเอาเอง
แต่จู่ๆ เมื่อธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ-ปิยบุตร แสงกนกกุล และมิตรสหายจำนวนหนึ่ง ตกลงใจจะตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่
สถานการณ์ก็คล้ายๆ วันที่ “ม้าเฉียว” เคลื่อนทัพพุ่งออกมาจากเมืองเสเหลียง ตรงดิ่งจะเข้าไปรบกับโจโฉที่เมืองฮูโต๋
เพียงแต่ว่าหนนี้ ม้าเฉียว-ธนาธร ม้าต้าย-ปิยบุตร ไม่ได้มี “หันซุย” ที่เป็นทั้งเพื่อนพ่อและเพื่อนโจโฉร่วมขบวนอยู่ด้วย
ไม่ต้องกลัวว่าจะมีรายการทรยศหักหลังจนแพ้ภัยตัวเองในที่สุด
กองทัพหัวเมืองก็เลยเขย่ากองทัพเมืองหลวงให้เกิดความสั่นไหวชนิดจับอาการได้อยู่เป็นระยะ
ไม่เชื่อก็ดูที่ท่านสมุหนายกออกมาเหน็บบ้างหยิกบ้าง หรือมีอาการลมออกหูเวลาสำนักใบบอกทั้งหลายกระแซะถามอยู่เป็นประจำ
ฮา
ไม่แต่เท่านั้น คุณูปการของพรรคอนาคตใหม่สำหรับการเมืองไทยอย่างน้อยสองข้อก็คือ
ประการแรก ทำให้สองพรรคใหญ่อย่างเพื่อไทยและประชาธิปัตย์เกิดการปรับตัวอย่างมีนัยยะสำคัญ
มีการให้ความสำคัญกับฐานเสียงที่เป็นคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังไม่เคยไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
คือผู้มีอายุราว 18-25 หรือ 18-30 ปีกันยกใหญ่
มีการปรับปรุงระบบบริหารภายใน โดยเฉพาะการใช้ “โซเชียลมีเดีย” ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
หลังจากเห็นกันซึ่งๆ หน้าว่า ม้าเฉียว-ม้าต้าย เอ๊ยธนาธร-ปิยบุตร (และเอาจริงๆ คือมิตรสหายที่ร่วมขบวนการอีกจำนวนมาก) กวาดเอาคะแนนนิยมในโลกโซเชียลไปได้อย่างล้นหลาม
ล้นชนิดที่เอาพรรคอื่นรวมกันแล้วจะถึงครึ่งของกองทัพเสเหลียงหรือไม่ก็ยังไม่รู้เลย
ไม่เชื่อก็ลองไปถาม “ดาวรุ่ง-คนรุ่นใหม่” ของบางพรรคการเมืองที่เคยไปขึ้นวทีประชันกันเถิด
ว่าประสบการณ์ชนิด อีกฝ่ายพูดปุ๊บ 5 นาทีขึ้นทวิตเตอร์ ครึ่งชั่วโมงมีคลิปออกเฟซบุ๊ก มีสรุปเนื้อหาผ่านไลน์
ขณะที่ฝ่ายตัวเองผ่านไปสองวันแล้วยังถอดเทปไม่เสร็จ
มันชวนให้ท้อขนาดไหน
ประการต่อมา ทำให้การเมืองเป็นเรื่องของเนื้อหาสาระมากขึ้น
อาจจะมี “ติ่ง” ของทั้งสองฝ่าย ทั้งประเภทกองเชียร์ไม่ลืมหูลืมตา หรือกองแช่งที่ไม่เคยอ่านหนังสือ ไม่รู้ความเป็นไปของโลก
ออกมาแสดงความติ่งให้น่ารำคาญเล็กน้อย
อันนั้นให้ดูแล้วขำๆ ไป
เพราะประเด็นใหญ่กว่าก็คือการที่พรรคเสเหลียงนี่เขาประกาศจุดยืน-หลักการชัดเจนมาก
ชัดเจนตั้งแต่ต้น และไม่มีถอย ไม่มีประนีประนอม
ไม่ว่าจะเป็นการล้มรัฐธรรมนูญ 2560 หรือการล้างมรดก คสช. ไปจนกระทั่งถึงการปฏิรูปกองทัพอย่างถึงแก่น เพื่อมิให้มีรัฐประหารที่เป็นเหมือนการบอนไซสังคมไทยเกิดขึ้นอีกในอนาคต ฯลฯ
ซึ่งดูเหมือนว่า น่าจะถูกอกถูกใจหรือพูดแทนใจคนจำนวนไม่น้อย
ไม่อย่างนั้นคะแนนนิยมในโลกโซเชียลของพรรคหรือแกนนำของพรรคการเมืองนี้คงไม่พุ่งพรวดพราดขึ้นมาจนน่าจับตาขนาดนั้น
และการเล่นการเมืองด้วยการตอกย้ำเนื้อหาสาระ
ในอีกทางหนึ่งก็เหมือนชวนให้อีกฝ่ายออกมาถกเถียงกันด้วยหลักการ เหตุผล ข้อมูล
แทนที่จะเป็นการโต้เถียงหรือโต้วาที อย่างเช่นที่เป็นมาแต่เดิม
อนาคตของการเมืองไทยสามก๊ก-สี่ก๊กจะเป็นอย่างไรต่อไป
ไม่ใช่หมอดู จึงบอกไม่ได้
รู้แต่ว่าน่าสนใจมาก
และส่อเค้าว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงอีกมาก
ว่าอย่างนั้นไหม?