ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 - 31 พฤษภาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวไม่เล็กไม่ใหญ่มาสะกิดใจอยู่สองข่าว
จดสั้นๆ เอาไว้ ตั้งใจว่าจะมาขยายขี้เท่อ เพื่อรับฟังความเห็นของท่านอื่นบ้าง
ดังนี้
เรื่องแรก ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการเทียบตำแหน่งของข้าราชการทหารกับข้าราชการพลเรือน พ.ศ. … ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ-หนึ่งในแม่น้ำ 5 สาย (ที่ส่วนใหญ่เป็นทหาร) เสนอขึ้นมา
ประเด็นหลักอยู่ที่เทียบ พล.ต. ให้เท่ากับตำแหน่งอธิบดีของพลเรือน
ถามว่ากฎหมายนี้ส่งผลอย่างไร
ประการแรกที่ชัดเจนที่สุดและมีผู้ชี้ประเด็นเอาไว้แล้วหลายท่าน ก็คือโอกาสที่ท่านนายพลทั้งหลายจะได้เข้าไปนั่งในองค์กรอิสระจะเพิ่มขึ้น
เพราะรัฐธรรมนูญฉบับมหาเทพมีชัยนั้นไปเขียนเอาไว้ว่า ข้าราชการที่จะมานั่งเป็นกรรมการองค์กรอิสระจะต้องดำรงตำแหน่งบริหารระดับอธิบดีหรือเทียบเท่ามาอย่างน้อย 5 ปี
ซึ่งขุนทหารน้อยใหญ่ท่านร้องโวยวายมาแต่แรกว่า อย่างนั้นโอกาสที่ทหาร (เกษียณแล้ว) จะไปนั่งเป็นองค์กรอิสระแทบไม่มีเลย
เพราะตำแหน่งเทียบเท่าอธิบดีคือ ผบ.เหล่าทัพทั้งหลาย
ซึ่ง (แทบ) ไม่มีใครเลยที่ดำรงตำแหน่งยาวนาน 5 ปี
ประการต่อมาก็คือผลประโยชน์ (อันติดมากับตำแหน่ง) และศักดิ์ศรีอื่นๆ เช่น เครื่องราชอิสริยาภรณ์
และสุดท้ายเลยก็คือโอกาสที่จะ “เลื่อนไหล” ออกไปดำรงตำแหน่งทางพลเรือน (ถ้ารัฐบาลที่มีทหารเป็นผู้นำยังอยู่ในอำนาจ)
เอาสามข้อเบาะๆ ไปก่อน
ข่าวต่อมาเกิดในวันเวลาไล่เลี่ยกัน
คือการแถลงของ พล.ต.ฤทธี อินทราวุธ หัวหน้าคณะทำงานไซเบอร์กลาโหม ที่ระบุว่า
กองทัพมีแผนสร้างกำลังสำรองที่มีความรู้ด้านไซเบอร์ ไปพร้อมกันกับการสร้างกำลังพลสำรอง
จะรับสมัครบุคคลพลเรือนไม่จำกัดเพศ-อายุเพื่อเป็น “กำลังพลสำรองที่มีคุณวุฒิและความสามารถด้านไซเบอร์ทำหน้าที่ทหารเป็นการชั่วคราว”
ตามนโยบายการรับสมัคร “พนักงานราชการที่มีศักยภาพสูง” ของรัฐบาล
เหมือนจะไม่แปลกอะไร เพราะใครๆ ก็รู้ว่าปัญหาจุกจิกจนกระทั่งถึงภัยคุกคามในโลกไซเบอร์นั้นถาโถมเข้ามาทุกรูปแบบ
ทั้งที่ตั้งใจและที่ไม่ได้เจตนา
ซึ่งที่ผ่านมา เอกชนหรือประชาชนมักจะเดินนำหน้ารัฐหรือราชการไปไกล
เพราะฉะนั้น เอาคนเก่งมาทำงานให้จะแปลกอะไร
แต่แปลกตรงนี้ละครับ
เพราะวิทยาการสมัยใหม่ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะอินเตอร์เน็ตหรืออื่นๆ มีต้นกำเนิดมาจากการพัฒนาของกองทัพ (โดยเฉพาะกองทัพสหรัฐ) แทบทั้งสิ้น
กองทัพที่พัฒนาเองไม่ได้ ต้องไปตัดตอนเอาคนจากที่อื่นมา
ต้องตั้งคำถามตัวเองว่า การจัดโครงสร้าง ภาระหน้าที่ และบุคลากรของตัว
ยังเหมาะกับสถานการณ์ในโลกปัจจุบันหรือไม่
ทั้งสองเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นปัญหาร่วมข้อหนึ่ง
นั่นคือการแก้ไขปัญหาด้วยอำนาจหรือกำลัง และทำอยู่แต่เพียงฝ่ายเดียวหรือกลุ่มเล็กๆ นั้น
มีแนวโน้มจะผิดฝาผิดตัวเสมอ
ปัญหาองค์กรอิสระเริ่มจากรัฐธรรมนูญโหลยโท่ย
ไม่แก้รัฐธรรมนูญแล้วยังผ่าจะไปออกกฎหมายเพิ่มให้มันยุ่งหนักขึ้น
เหมือนกับโครงสร้างตัวเองไม่ทันสมัย (ทั้งที่นายทหารทุกท่านได้รับปริญญาบัตร วท.บ.-วิทยาศาสตรบัณฑิตเมื่อสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเหล่า)
ไม่แก้โครงสร้างแล้วยังจะใช้วิชา “ผักชีโรยหน้า” ให้ดูเหมือนว่าแก้ปัญหาไปแล้ว
มันจะไม่ยิ่งเข้ารกเข้าพงกันไปใหญ่หรือ
การออกกฎหมายหรือแสดงตัว (โดยคนบางกลุ่มในกองทัพ) ว่ากองทัพ “เอาแต่ได้”
ในยามที่กองทัพมีอำนาจมากกว่าคนอื่นในสังคมนั้น
ถามว่าได้หรือเสียกับกองทัพโดยส่วนรวมมากกว่ากัน
ยิ่งถ้าพิจารณาว่า นักเลงในคติไทยนั้นตามความเชื่อแล้วต้องมี “ธรรม” กำกับ
ธรรมที่ว่านั้น เช่น ความไม่เห็นแก่ได้ ไม่เบียดเบียนคนตัวเล็กตัวน้อยกว่า (ที่เป็นพวกเดียวกัน)
มีกำลังมีอำนาจแต่ไม่มีธรรมกำกับ ก็เป็นได้แค่จิ๊กโก๋หรืออันธพาล
ซึ่งไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ใครต้องการจะถูกตราหน้า
แม้แต่ตัวจิ๊กโก๋หรืออันธพาลเอง