ฐากูร บุนปาน : ชื่อทักษิณที่ยังหลอนมาถึงทุกวันนี้

ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา

ไม่มีโครงการหรือนโยบายไหนที่เปลี่ยนโฉมหน้าสังคมและการเมืองไทยไปมากกว่า “30 บาทรักษาทุกโรค” หรือชื่อเป็นทางการว่านโยบายประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้อีกแล้ว

และด้วยนโยบายนี้เอง ที่ทำให้ไม่ว่าเลือกตั้งครั้งไหนๆ

พรรคเพื่อไทย (ไม่ว่าจะมาในชื่อไหน) ก็อยู่ยั้งยืนยง

และชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ยังลอยมาหลอกหลอนคนจำนวนไม่น้อย

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่

ทำไม?

ก็เพราะนี่คือนโยบายที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนจำนวนมหาศาล-โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือชนบท-ไปแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ

เปลี่ยนโฉมหน้าการรักษาพยาบาลของภาครัฐ (ที่ควรเป็นสวัสดิการพื้นฐานให้คนทั่วไปเสียนานแล้ว) จากการ “สงเคราะห์” (โดยท่านผู้มีความกรุณาหรือมีอำนาจเหนือกว่า)

มาเป็น “สิทธิ์”-ที่แปลว่า ถ้าไม่ทำให้ดี ชาวบ้านสามารถร้องโวยวายขึ้นมาได้

ผลของโครงการนั้นเป็นที่รู้กันอยู่ว่าทำให้ “ต้นทุนชีวิต” ของชาวบ้านอันเนื่องมาจากบริการสาธารณสุข ลดลงมาเกือบเป็นศูนย์

ชาวบ้านจึงเป็นผู้ได้ประโยชน์อันดับหนึ่ง

โดยมีพรรคไทยรักไทย (และทักษิณ) ในฐานะผู้ผลักดันนโยบาย (ที่เคยเป็นแค่ความฝัน) ให้กลายเป็นความจริง

เป็นผู้รับผลประโยชน์ในลำดับต่อมา

แต่เมื่อมีผู้ได้ประโยชน์ ก็ต้องมีผู้เสียประโยชน์

กลุ่มแรกเลยที่จะต้องไม่พอใจ ก็คือ “แพทย์อำมาตย์” ทั้งหลาย ที่เคยกุมชะตาหรือชี้เป็นชี้ตายระบบสาธารณสุขไทย

เพราะ “อำนาจ” ที่หลุดลอยไปนั้น หมายถึง “ผลประโยชน์” ที่หมดหรือลดลงไปด้วย

ฉะนั้น แรงต้านในระบบจึงมีอยู่สูง ถึงเวลาจะผ่านไป 10-20 ปีแล้วก็ตามที

จริงหรือไม่ก็ให้ลองดูการต่อสู้ฟาดฟันในกระทรวงและวงการสาธารณสุขดู

ว่าเวลา “เด็กหน้าห้อง” เขาเล่นกันนั้น

เอากันถึงตายขนาดไหน

และที่ไม่ชอบใจแน่ๆ อีกพวก ก็คือกลุ่มที่ไม่ชอบ (หรือเกลียด) พรรคไทยรักไทย-พลังประชาชน-เพื่อไทย

โดยตระหนักได้ว่า รากฐานที่มาของความนิยมของทักษิณและคณะ ก็คือ 30 บาทรักษาทุกโรคนี่แหละ

เพราะฉะนั้น ทลายได้ก็ต้องทำลาย

ไม่ให้ใช้แนวนโยบายนี้หาเสียงหรือทำมาหากินได้อีกต่อไป

เมื่อไหร่ที่กลุ่มหลังนี้ขึ้นมามีอำนาจ และได้รับแรงสนับสนุนจากกลุ่มแรก

แนวโน้มของการล้มล้างนโยบายประกันสุขภาพถ้วนหน้าก็เห็นอยู่รำไร

แต่ก็นะครับ

เมื่อกลายเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนเสียแล้ว

เมื่อชาวบ้านตระหนักว่าได้ทั้งอำนาจและผลประโยชน์เสียแล้ว

เมื่อไหร่ที่ “ขาใหญ่” ทั้งหลายจะมาทุบ-รื้อ หรือทำลายของที่เป็นของเขา

เขาก็ลุกขึ้นมาสู้

ในฐานะผู้เสียประโยชน์โดยตรง

อย่างเช่นที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้

แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ การต่อสู้หรือขัดขวางไม่ให้มีการทุบ-รื้อนโยบายประกันสุขภาพถ้วนหน้านั้น

ดำเนินไปโดยภาคประชาชน-ประชาสังคม

ไม่ได้มีภาคการเมือง-โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เพื่อไทย” ในฐานะผู้ได้ประโยชน์ลำดับสอง-เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเลย

ท่านหายไปไหน

ไม่ว่าจะในฐานะผู้ได้รับประโยชน์ก็ดี

หรือในฐานะพรรค-นักการเมืองที่ประกาศตัวว่าเป็นผู้รักษาประโยชน์ของประชาชนก็ดี

พรรคการเมือง-โดยเฉพาะเพื่อไทย ต้องมีบทบาทในเรื่องนี้นะครับ

จะมาอ้างว่ามีคำสั่ง คสช. ไม่ให้เคลื่อนไหวทางการเมือง-ไม่ได้

นี่ไม่ใช่การเมือง (ที่ทหารตีกรอบเอาไว้แคบๆ)

หรือถ้านิยมว่าประโยชน์ของประชาชนเป็นการเมือง

ต่อให้มีคำสั่ง (อันไม่ชอบด้วยเหตุผล) ห้าม

ก็ต้องออกมาเคลื่อนไหว หรืออย่างน้อยก็แสดงจุดยืนให้ชัด

ว่าถึงวันนี้ขยับเขยื้อนอะไรไม่ได้ แต่ถ้ามีโอกาสหรืออำนาจเมื่อไหร่

จะเคลื่อนไหว 1 2 3 4 5…ดังนี้

เห็นพูดตอบโต้ทางการเมืองหรือเรื่องอื่นได้สารพัด

แต่ไม่ยักออกมายืนกลางแจ้งให้เห็นชัดๆ ในเรื่องที่เป็นหลัก ในเรื่องที่เป็นเรื่อง “ได้-เสีย” ของประชาชน

จะ “ต่อต้านเผด็จการ” นั้น พูดแต่ปากลอยๆ ไม่ได้นะครับ

ว่ากันเป็นรูปธรรมเป็นเรื่องๆ ไปเลย ว่าอะไรคือไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรม ไม่เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่

ไม่ใช่แต่เพื่อไทย

พรรคการเมืองอื่นๆ ก็ด้วย

เอาให้ชัด ชาวบ้านจะได้กาหัว เอ๊ย..กาชื่อถูก

เมื่อถึงวันเลือกตั้ง